15.11.55

เปิดบันทึก “คัมภีร์มรณะ”!!


 เปิดบันทึก “คัมภีร์มรณะ”โต้เอกสาร “การต่อสู้ที่ปัตตานี” ที่บิดเบือนคำสอน ตามหลักศาสนาอิสลาม ซึ่งผู้ที่ได้อ่านสามารถฆ่าพ่อ-แม่ได้ภายใน7วัน ซึ่งเป็นเครื่องมือของคนเพียงกลุ่มหนึ่งที่หวังผลประโยชน์เท่านั้น
 

       

       1.เอกสารที่มีชื่อว่า “การต่อสู้ที่ปัตตานี” ที่เขียนโดยผู้ไม่ระบุนามในถ้ำแห่งหนึ่งที่ตำบลกลัวลาตีฆอ เมืองตาเนาะแมเราะ รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ซึ่งแปลและถอดความโดยนายแวหามะ ดีแม ล่ามประจำอำเภอเมือง จังหวัดยะลา เป็นเอกสารที่ถูกใช้ปลุกระดมเยาวชนและประชาชนชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ชายแดนภาคใต้เพื่อให้ทำการต่อสู้และแบ่งแยกดินแดน ต้นฉบับเขียนเป็นภาษายาวี และแปลเป็นภาษาไทยโดยล่ามประจำอำเภอเมือง จังหวัดยะลา ดังกล่าว ได้ถูกค้นพบและถูกยึดจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ เป็นเอกสารที่ควรแก่การให้ความสนใจ และสร้างความเข้าใจอย่างผิดๆ ให้เกิดขึ้นกับพี่น้องชาวมุสลิมของเรา
       
       จากการตรวจสอบได้พบว่า ได้มีการอ้างอิงโองการในพระคัมภีร์อัลกุรอ่านหลายโองการมาเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาของพี่น้องมุสลิม โองการทั้งมวลนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งสูงส่ง เป็นสิ่งที่อัลเลาะห์ประทานไว้ มนุษย์ไม่อาจแตะต้องได้ดังนั้นจะต้องไม่แตะต้องโองการทั้งปวง จะต้องแสดงความเคารพต่อโองการทั้งปวง แต่การให้ความหมายหรือการบิดเบือนความหมายของโองการอันสูงส่ง ศักดิ์สิทธิ์นั้น เป็นเรื่องที่จะต้องกล่าว เป็นเรื่องที่จะต้องประณาม เป็นเรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจและเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยพี่น้องมุสลิมผู้ศรัทธาและภักดีต่อพระอัลเลาะห์ให้ปกป้องความสูงส่งบริสุทธิ์ของอิสลาม ปกป้องพระธรรมคำสอนในพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน และนี้ก็คือการทำจีฮัดหรือการต่อสู้ในหนทางของพระเจ้า ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์อัลกุรอานนั้นจะต้องตระหนักให้มั่นคงว่า ประการแรกจะต้องเคารพความสูงส่ง ความศักดิ์สิทธิ์ ของบรรดาโองการทั้งหลายในพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน และไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์และมีอำนาจที่จะแตะต้องหรือชำระสะสาง
       
       ประการที่สอง จะต้องประณามการให้ความหมาย และการบิดเบือนพระคัมภีร์อย่างผิดๆ เพียงเพื่อหวังผลในการก่อความไม่สงบในบ้านเมืองอย่างถึงที่สุด
       
       ประการที่สาม บรรดามุสลิมที่ได้ปกป้องคำสอนในพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน นำความสว่างไปขับไล่ความมืด นำความจริงขับไล่ความเท็จ นำความถูกต้องไปขจัดความผิดพลาดบิดเบือน ย่อมเป็นการต่อสู้ในหนทางของพระเจ้าที่แท้จริงจะได้รับการโปรดปรานจากพระเจ้า
       
       2. เอกสารต่อสู้ที่รัฐปัตตานีรับใช้ใคร
       2.1 เอกสารมายาภาพว่าจัดทำขึ้นเพื่อรับใช้พระเจ้า แต่เนื้อแท้แล้วเป็นการขายพระเจ้า เป็นการแอบอ้างพระเจ้า เพื่อก่อกรรมทำเข็ญแก่มนุษยชาติ นี้คือเป้าหมายหลักของเอกสารนี้ ที่จำจะต้องนำไปสู่ความเข้าใจของพี่น้องมุสลิม
       2.2 เอกสารนี้ได้กล่าวถึง “รัฐปัตตานี”ในอดีตว่ามีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้เพราะเชื้อสายเจ้าผู้ครองแห่งรัฐกลันตันเข้ามาเป็นเจ้าผู้ปกครองในตำแหน่งพระราชา แล้วได้นำเสนอไว้อย่างแยบยลว่า “ในวันข้างหน้าผู้ปกครองรัฐปัตตานีที่เราทั้งหลายจะเลือกและแต่งตั้งเพื่อเป็นผู้ปกครองสูงสุดของเรา ทางที่ดีที่สุดควรจะเป็นบุคคลที่มีเชื้อพระวงศ์ เพราะว่าการปกครองของบุคคลที่มีเชื้อสายพระวงศ์เพื่อความเป็นศักดิ์และศรีในการปกครองประชาชนทั่วไป สำหรับพระราชาหรือผู้ปกครองที่ยุติธรรมหรือเฉลียวฉลาด จะเป็นสัญลักษณ์ความภาคภูมิใจของประชาชนทั้งหมด ประชาชนทุกคนเคารพนับถือรักเชื่อฟังและถือปฏิบัติตามคำสั่งของพระราชาด้วยความล้นพ้น”
       
       แม้จะใช้ลีลาการเขียนที่แยบยลสักปานใด แต่ในที่สุดหางก็โพล่ออกมาจนได้ นั้นคือการนำเสนอให้ผู้มีเชื่อสายเจ้าผู้ปกครองรัฐกลันตันเป็นพระราชาของรัฐปัตตานี เอกสารดังกล่าวนี้จึงไม่ใช่เอกสารที่จะรับใช้พระเจ้าดังที่กล่าวอ้างสร้างมายาภาพไว้ แต่เป็นเอกสารที่ทำขึ้นเพื่อรับใช้เชื้อสายของอดีตจ้าแห่งรัฐกลันตัน ซึ่งหมดสิ้นสภาพไปไม่น้อยกว่า 200 ปีแล้ว ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ พี่น้องมุสลิมทั้งประเทศไม่เคยเป็นหนี้บุญคุณใดๆ และไม่ยอมรับอำนาจปกครองใดๆของอดีตเชื้อสายเจ้าแห่งรัฐกลันตัน จึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องต่อสู้ให้กับบุคคลดังกล่าว ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะยอมรับคำบิดเบือนศาสนาในศาสนาเพื่อรับใช้บุคคลเพียงบางคน ซึ่งผู้เขียนเอกสารนี้ยกย่องบูชา
       
       3.ไม่มีใครมีสิทธิ์จำกัดอิสลามให้คับแคบเพื่อประโยชน์ตนหรือคณะตน เอกภาพแห่งอิสลามเป็นสากลเพื่อมวลชนหมู่มนุษยชาติ เพื่อสันติสุขและสันติภาพของมนุษยชาติเท่านั้น
       
       เอกสารนี้ได้เสนอตั้งสภารัฐธรรมนุญและประเพณีวัฒนธรรมแห่งรัฐปัตตานีขึ้นสภาหนึ่ง โดยระบุว่า “สภารัฐธรรมนูญและประเพณีวัฒนธรรมแห่งรัฐปัตตานีจะต้องประกอบไปด้วยสมาชิกผู้ทรงรอบรู้ในด้านศาสนาอิสลามจากนิกายซาฟีอี และห้ามเอาบุคคลนิกายอื่นมาร่วมปกครองด้วยเป็นอันเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นอีกถ้ามีหลายๆกลุ่มที่มีความเห็นไม่ตรงกัน ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะได้มาซึ่งการปกครองและทุกสิ่งเป็์น มติของสภานี้ จะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศตลอดไป จะยกตัวอย่างให้ดูดังต่อไปนี้ บุคคลที่จะมาสืบทอดราชวงศ์การปกครองในตำแหน่งพระราชาหรือผู้นำของคนมุสลิมทั้งหลายจะต้องได้รับการคัดเลือกและแต่งตั้งจากตระกูลเจ้าที่ใกล้ที่สุด”
       
       นี่คือความคิดที่คับแคบที่สุดและตรงกันข้ามที่สุดกับอิสลาม พระคัมภีร์อัลกุรอานจำแนกคนตรงชั่วดี ไม่ได้จำแนกคนตรงที่มีว่ามีอดีตเชื้อสายเจ้าแห่งกลันตันหรือไม่ นี่คือการบิดเบือนคำสั่งสอนของพระเจ้า ยกย่องบุคคลในสายตระกูลเจ้าแห่งกลันตันว่าเป็นคนพวกเดียวเท่านั้นที่เป็นคนดี มีความสามารถ อัลเลาะห์ไม่เคยสั่งสอนว่าอดีตเชื้อสายเจ้าแห่งกลันตันเท่านั้นจึงจะเป็นคนดี หรือเป็นคนที่มุสลิมจะต้องยอมตายถวายชีวิตให้ มีแต่อัลเลาะห์เท่านั้นที่ทรงเกรียงไกร ทรงรอบรู้ ทรงเมตตาปรานีและทรงรู้สิ่งที่ผู้เขียนกำลังกระทำอยู่
       
       เอกสารนี้ยังกีดกันและปฏิเสธการดำรงอยู่ของพี่น้องมุสลิมนิกายอื่นๆ สำนักคิดอื่นๆ หรือลัทธิอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นวาฮาบีหรือชีอะห์ แม้ในนิกายซุนหนี่ซึ่งมีอยู่ถึงสี่สำนักคิดคือ ฮานาฟี ซาฟีอี ฮัมบาลี และมาลิกี ก็ถูกกีดกันหรือรังเกียจเกือบทั้งหมด แม้พี่น้องในสำนักคิดซาฟีอีซึ่งเป็นพี่น้องมุสลิมส่วนใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้แม้ดูผิวเผินแล้วจะได้รับการยอมรับ แต่แท้จริงกลับตีวงกรอบให้จำยอม ให้ต้องยอมรับและยอมตายถวายชีวิตอยู่เฉพาะผู้ที่ยอมตายถวายชีวิตให้กับอดีตสายเจ้าแห่งรัฐกลันตันเท่านั้น นี่คือการละเมิดต่ออิสลาม ทรยศต่ออัลเลาะห์ และเหยียบย่ำพระคัมภีร์อัลกุรอาน อย่างร้ายแรงที่สุด
       
       4.การบิดเบือนการต่อสู้ในหนทางของพระเจ้า การกระทำจีฮัด หรือการกระทำการต่อสู้เพื่อพระเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเป็นความสูงส่งในอิสลามที่มุสลิมทั้งปวง ผู้มีความศรัทธาและภักดีต่ออัลเลาะห์จะต้องกระทำการต่อสู้เพื่อพระเจ้า และการตายของพวกเขาในการต่อสู้นั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็นการตายเพื่อพระเจ้า หรือชาฮีด การตายเช่นนั้นเลือดของเขาจะบริสุทธิ์ยิ่งกว่าน้ำ มีกลิ่นหอมดุจชะเอม
       
       แต่ทว่าการกระทำการต่อสู้เพื่อพระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ใคร ๆ จะกำหนดเอาเองได้ตามอำเภอใจ เพราะความสูงส่งและความศักดิ์สิทธิ์ ในเรื่องนี้ต้องเป็นไปตามหลักการที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์อัลกุรอานเท่านั้น ผู้เขียนเอกสารนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะบัญญัติขึ้นเองนอกเหนือจากที่อัลเลาะห์ได้ทรงบัญญัติไว้แล้ว
       
       อัลเลาะห์ได้ทรงบัญญัติหลักเกณฑ์ของการต่อสู้ในหนทางของพระเจ้าไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์อัลกุรอาน คือต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่งนี้เท่านั้น นั่นคือ
       
       1.ต้องเป็นการกระทำเพื่อปกป้องดินแดนอิสลาม
       2.ต้องเป็นการกระทำเพื่อปกป้องพระธรรมคำสอนในพระคัมภีร์อัลกุรอาน
       3.ต้องเป็นการกระทำเพื่อปกป้องมุสลิมจากการข่มเหงเข่นฆ่าโดยไม่ชอบธรรม
       

       การที่ผู้เขียนคัมภีร์มรณะ บิดเบือนว่าการยอมตายถวายตัวให้กับอดีตเชื้อสายเจ้าแห่งกลันตันเป็นการต่อสู้ในหนทางของพระเจ้า เป็นการบัญญัติหลักเกณฑ์นอกเหนือไปจากที่อัลเลาะห์ และทำให้คำสอนในพระคัมภีร์อัลกุรอานมัวหมอง เป็นหน้าที่ของมุสลิมทั้งปวงที่จะต้องกระทำการต่อสู้เพื่อปกป้องคำสอนให้มีความบริสุทธิ์ ไม่ให้ถูกบิดเบือนไปเป็นเครื่องมือรับใช้ผลประโยชน์ของอดีตเชื้อสายเจ้าแห่งกลันตัน
       
       5.เอกสารคัมภีร์มรณะนี้ ได้บิดเบือนคำสอนในศาสนาอิสลามอย่างร้ายแรงอีกหลายประการคือ คำสอนที่ว่ามุสลิมเป็นพี่น้องกัน แต่คนต่างศาสนาเป็นศัตรูที่ต้องประหัตประหาร ต้องทำการต่อสู้กับคนนอกศาสนาเพื่อกอบกู้ความอลังการของศาสนาอิสลาม และอ้างว่าการต่อสู้ฆ่าฟันคนนอกศาสนาคือการต่อสู้ในหนทางของพระเจ้าคือเป็นการกระทำจีฮัด คำสอนที่ว่าการต่อสู้เพื่อการแบ่งแยกดินแดนของประเทศไทยจะได้รับสัญญาอันเป็นรางวัลจากอัลเลาะห์ในการไปสู่สวรรค์
       
       คำสอนที่ว่าการเปิดเผยข้อมูลในการแบ่งแยกดินแดนเป็นการตีสองหน้า ให้ฆ่าคนที่เปิดเผยข้อมูลเหล่านั้น เพราะถือว่าเป็นศัตรูที่เป็นอันตรายที่สุด เขาไม่ใช่เพื่อนหรือพ่อแม่อีกต่อไปแล้ว นี่เพียงแค่เข้าใจว่ามิตรสหายเพื่อนฝูงหรือพ่อแม่ถ้าเปิดเผยความลับในการแบ่งแยกดินแดนก็ต้องถือว่าเป็นศัตรูและต้องประหัตประหาร
       
       คำสอนที่ว่าสั่งสอนให้ฆ่าศัตรูทันทีที่พบและยึดทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นของตน ถ้าไม่ออกรบ อัลเลาะห์จะทรมานอย่างเจ็บปวด และคำสอนที่ว่าถ้าเผชิญหน้ากับคนนอกศาสนาก็อย่าได้หนี ให้สู้ตายและคำสั่งสอนที่ว่าในบรรดาเพื่อน ๆ และพ่อแม่พี่น้องก็มีผู้ที่มีจิตใจเอนเอียงไปเข้ากับรัฐ อย่าได้นับถือคนเหล่านั้นอีกต่อไป เพราะเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ให้ฆ่าเขาเสีย
       
       คำสอนที่ผิด ๆเหล่านี้เป็นเรื่องร้ายแรงกล่าวคือ
       ประการแรก
 เป็นการทรยศต่ออัลเลาะห์และอิสลาม เพราะอัลเลาะห์ทรงสั่งสอนว่ามุสลิมทั้งหลายเป็นพี่น้องกัน คนนอกศาสนาทั้งปวงล้วนเป็นผู้ที่ถูกสร้างมาจะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเมตตาอาทร และจะต้องได้รับสิทธิ์ทั้งปวงที่เขาจะพึงมี
       
       ประการที่สอง ศาสนาอิสลามไม่ได้สั่งสอนให้แบ่งแยกดินแดน อัลเลาะห์ทรงตรัสว่าอัลเลาะห์จะไม่เปลี่ยนแปลงประชาชาติใด จนกว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวของเขาเอง มนุษย์ทั้งหลายที่กระทำความดี จะได้รับการตอบแทนความดีนั้นจากอัลเลาะห์ และมนุษย์ทั้งหลายที่กระทำความชั่ว จะต้องได้รับโทษอย่างเจ็บแสบ นั่นคืออัลเลาะห์ทรงจำแนกคนที่การกระทำความชั่วและการกระทำความดี เพราะมนุษย์ทั้งปวงล้วนอัลเลาะห์สร้างมาทั้งสิ้น แต่มุสลิมเป็นมนุษย์ในศาสนาของพระองค์ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ต้องมีหลักการปฏิบัติต่อกันโดยเฉพาะ แต่ไม่ใช่ว่าเป็นมุสลิมแล้วจะต้องตั้งความรังเกียจเดียดฉันท์คนนอกศาสนา เพราะเขาล้วนได้รับความเมตตาปรานีจากอัลเลาะห์เสมอหน้ากัน และนี่คือวาดะห์หรือเอกภาพการเป็นสากลของอิสลาม ผู้เขียนไม่มีสิทธิ์จำกัดอิสลามให้คับแคบ เพื่อรับใช้ประโยชน์ตนหรือคณะตน
       
       ประการที่สาม ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติ มุสลิมคือผู้แสวงหาสันติ ภายในมุสลิมด้วยกันจะต้องปฏิบัติตามหลักการที่อัลเลาะห์ทรงบัญญัติไว้เพื่อความเป็นเอกภาพและเพื่อถึงซึ่งสันติ และการกลับไปรับใช้อัลเลาะห์ต่อคนต่างศาสนาต้องเมตตาอาทร ต้องยอมรับสิทธิ์ที่พวกเขาพึงมี การที่ผู้เขียนเรียกร้องให้มุสลิมถือคนนอกศาสนาเป็นศัตรู และเรียกร้องให้ประหัตประหารคนนอกศาสนาคือการบิดเบือนอิสลามและพระธรรมคำสอนในอิสลาม ชักพามุสลิมต้องเป็นศัตรูกับมนุษยชาติทั่วโลกกว่า 4,000 ล้านคน เป็นการกระทำให้มุสลิมเป็นที่ชิงชังรังเกียจของประชาคมโลก
       
       ประการที่สี่ พ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิด เป็นผู้มีพระคุณ พี่น้องเป็นผู้มีอุปการะ ญาติมิตรเป็นผู้มีอุปการะ การที่ผู้เขียนเรียกร้องให้ถือพวกนี้เป็นศัตรูและให้ประหัตประหารเพียงเพื่อจะรับใช้ผลประโยชน์ของอดีตเจ้าแห่งกลันตัน เป็นการละเมิดคำสั่งสอนของอัลเลาะห์ ผู้เขียนไม่มีสิทธิ์ที่จะออกคำสั่งให้มุสลิมคนใดประหัตประหารเข่นฆ่าผู้ที่อัลเลาะห์ทรงสร้าง มีแต่อัลเลาะห์เท่านั้นที่ทรงไว้ซึ่งเอกสิทธิ์นี้ พระองค์ทรงรอบรู้อย่างยิ่ง คำสั่งสอนแบบนี้ทำให้พระคัมภีร์อัลกุรอานต้องมัวหมองอย่างยิ่ง
       
       เหล่านี้คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเพียงเพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของอดีตเชื้อสายเจ้าแห่งกลันตัน ผู้เขียนได้บังอาจขายศาสนาอันสูงส่งอย่างไม่ละอายต่อบาปและไม่เกรงกลัวต่อการถูกลงโทษ เสียหายหนักที่ผู้เขียนเอกสารนี้ก็มีความรู้ในพระธรรมคำสอนอย่างกว้างขวาง สมควรที่จะได้ใช้ความรู้นั้นอบรมเผยแพร่พระธรรมคำสอนในพระคัมภัร์อัลกุรอานอย่างภักดีและศรัทธา สมควรที่จะได้อุทิศตนรับใช้อัลเลาะห์ด้วยความภักดีและศรัทธา แต่กลับเห็นผิดเป็นชอบ นำความรู้นั้นไปบิดเบือนหลอกลวงให้พี่น้องมุสลิมทรยศต่ออิสลามซึ่งเป็นบาปอันมหันต์
       
       6.พี่น้องมุสลิมทั้งปวงผู้มีความศรัทธาและภักดีย่อมมีหน้าที่สำคัญประการหนึ่งต่อศาสนาคือ การปกป้องคำสอนไม่ให้ถูกบิดเบือน นำไปเป็นเครื่องมือรับใช้ผลประโยชน์ของบุคคลใดหรือคณะใด ย่อมมีหน้าที่สำคัญในการปกป้องมุสลิมไม่ให้ตกลงไปในความหลงผิดในวันนี้เพื่อจะได้ไม่ตกนรกในวันหน้า พี่น้องชาวไทยทั่วประเทศ ย่อมมีหน้าที่สำคัญในการกระทำความดีต่อชาติบ้านเมืองและต่อประชาชาติไทย มีหน้าที่ต้องทำการแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูก มีหน้าที่ช่วยเหลือพี่น้องร่วมชาติไม่ให้ตกเป็นทาสแห่งการมอมเมาของการบิดเบือน แสงสว่างแห่งพระธรรม ความถูกต้องแห่งพระธรรมคำสอนในพระคัมภีร์อัลกุรอานเท่านั้น ที่จะมีอานุภาพในการแก้ไขความผิดพลาดนี้
       
       “ตื่นเถิดพี่น้อง เรามาตระหนักถึงเภทภัยอันใหญ่หลวง ที่ผู้ขายศาสนาผู้นี้กำลังหลอกลวงบิดเบือน พี่น้องร่วมชาติของเราให้หลงผิด เพื่อติดตามเขาไปทรยศต่อศาสนาและตกเป็นเครื่องมือรับใช้ผลประโยชน์ของอดีตเชื้อสายเจ้าแห่งกลันตัน ชนชาวไทยมุสลิมทั้งปวง จึงพึงร่วมแรงร่วมใจกันนำหลักคำสอนที่ถูกต้องในพระคัมภีร์อัลกุรอานไปแก้ไขสิ่งผิดพลาดทั้งมวลด้วยความศรัทธาและภักดีต่อพระเจ้า”
       
     

จุฬาราชมนตรีแจงอิสลามไม่ห้ามทำงานวันศุกร์


จุฬาราชมนตรีร่อนเอกสารแจงอิสลามไม่ได้ห้ามทำงานวันศุกร์ ชี้พวกที่ข่มขู่เข้าข่ายละเมิดสิทธิสุจริตชน แอบอ้างศาสนาเพื่อประโยชน์ส่วนตน กระแสหยุดวันศุกร์ลามถึงขั้นขู่ปิดโรงเรียน ไม่รับรองความปลอดภัยครูที่ไปสอน 
          นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ได้ส่งหนังสือตอบเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ชี้แจงกรณีการทำงานในวันศุกร์ของมุสลิม เพื่อให้เกิดความกระจ่างและความเข้าใจที่ถูกต้องต่อมุสลิมและประชาชนทั่วไป 
          หนังสือของจุฬาราชมนตรีมีความยาว 3 หน้ากระดาษ (ไม่รวมใบปะหน้า) สรุปว่า การทำงานในวันศุกร์มิได้ขัดแย้งกับหลักศาสนาอิสลาม เพราะการทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยยังชีพเป็นสิ่งที่อิสลามให้ความสำคัญเป็นอย่างสูง เนื่องจากการดำรงชีพโดยมุ่งสู่เป้าหมายที่องค์อัลลอฮ์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดนั้น เพื่อให้สามารถดำรงชีพได้โดยไม่เป็นภาระต่อผู้อื่น และสามารถทำหน้าที่เพื่ออัลลอฮ์ได้โดยไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของผู้ใด ผู้ทำงานด้วยน้ำพักน้ำแรงเพื่อเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวด้วยอาชีพสุจริตจึงเป็นผู้ประเสริฐ
          "เมื่อคนเราต้องบริโภคทุกวัน อิสลามจึงไม่ห้ามที่จะทำงานทุกวัน แม้วันนั้นจะเป็นวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นวันสำคัญประจำสัปดาห์ก็ตาม สิ่งที่อิสลามบัญญัติก็คือบุคคลต้องไม่ให้ความสำคัญแก่การทำงานหารายได้มากกว่าการประกอบพิธีละหมาดญุมอะฮ์ (ละหมาดวันศุกร์) ถวายเป็นอิบาดะห์ต่ออัลลอฮ์พระผู้เป็นเจ้า" นายอาศิสระบุตอนหนึ่ง
          จุฬาราชมนตรียังได้ยกพระดำรัสแห่งอัลลอฮ์ ซูรอฮ์ (โองการ) อัลญุมุอะฮ์ อายะฮ์ที่ 9-10 ความว่า "ดูกรผู้มีศรัทธาทั้งหลาย เมื่อเสียงเรียกร้องสู่การละหมาดดังขึ้นในวันศุกร์ พวกเจ้าก็จงรีบเร่งไปสู่การรำลึกถึงอัลลอฮ์เถิด และจงยุติการซื้อขายเสีย นั่นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเจ้า หากพวกเจ้ารู้"
          "ครั้นเมื่อการประกอบพิธีละหมาดเสร็จสิ้นลง พวกเจ้าก็จงกระจายไปในแผ่นดินเถิด จงแสวงหาคุณูปการแห่งอัลลอฮ์ (ทำงานหารายได้) และจงรำลึกถึงพระองค์ให้มาก เพื่อพวกเจ้าจะได้พบกับความสำเร็จ"
          หนังสือของจุฬาราชมนตรี ยังระบุอีกว่า ฉะนั้นแม้จะเป็นวันศุกร์ แต่อัลลอฮ์ก็ยังส่งเสริมให้ทำงานเพื่อแสวงหาคุณูปการที่พระองค์ทรงสร้างไว้ให้ สิ่งที่ผู้ทำงานทุกคนต้องรำลึกอยู่เสมอก็คือ เมื่อได้ยินเสียงอะซานเรียกร้องสู่การละหมาด งานทุกอย่างต้องยุติลง และบุคคลต้องเตรียมตัวไปละหมาดอย่างรีบเร่ง ครั้นเมื่อละหมาดเสร็จสิ้นแล้วก็รีบไปทำงานต่อ โดยมีจิตรำลึกอยู่เสมอว่าโภคปัจจัยที่ได้มาล้วนเป็นคุณูปการแห่งอัลลอฮ์ทั้งสิ้น
          "ดังนั้นการข่มขู่ให้สุจริตชนหยุดทำงานในวันศุกร์ นับเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น เป็นการแอบอ้างศาสนาอิสลามเพื่อผลประโยชน์ของตนอย่างมิชอบ และเป็นการกระทำที่อยู่นอกกรอบแนวทางของอัลลอฮ์อย่างสิ้นเชิง" 

12.11.55

ความเข้าใจ และ แนวร่วมมุมกลับ (ตอนที่ ๑)


ปัญหาความทุกข์ใจของพี่น้อง ประชาชน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุกเชื้อชาติศาสนา เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นห่วงพสกนิกรของพระองค์ มีความกังวลพระราชหฤทัย ในความทุกข์ยากของประชาชน จากการกระทำของขบวนการแบ่งแยกดินแดน พระองค์จึงได้พระราชทานความช่วยเหลือลงมาสู่พสกนิกรของพระองค์อย่างมิได้ขาด ผ่านโครงการพระราชดำริต่าง ๆ ในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่นโครงการศูนย์ศึกษาพัฒนาพิกุลทอง จ.นราธิวาส โครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง และฟาร์มตัวอย่าง
ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อ.เบตง จ.ยะลา พร้อมทั้งได้พระราชทานยุทธศาสตร์ แก้ไขปัญหาเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แก่รัฐบาล จนถึงหน่วยงานความมั่นคง น้อมนำมาปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาให้เกิดสันติสุขอย่างยั่งยืน คือ ยุทธศาสตร์ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”
จากการน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน ในการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐบาลทุกสมัยของราชอาณาจักรไทยถือว่าเป็นวาระแห่งชาติในการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของพี่น้องจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างจริงจัง โดยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ได้แก่ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หน่วยงาน กระทรวง กรม เช่น กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบาย และยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ – ๒๕๕๗ มีข้อหนึ่งกำหนดไว้ว่า “เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม และเอื้อต่อการพูดคุย ในการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้ง และการให้หลักประกันในการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้อง และผู้มีส่วนได้เสียในขบวนการเสริมสร้างสันติภาพ” ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ที่กำหนดไว้ในข้อที่หกว่า “การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน” ลองกลับไปมองถึงขุนทัพซึ่งก็คือ แม่ทัพภาคที่ ๔ หรืออีกตำแหน่งคือ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ที่เข้ามารับตำแหน่ง ตั้งแต่ ตุลาคม ๕๓ ต่อจากท่านแม่ทัพภาค ๔ ท่านเดิม เจ้าตำหรับอีเอ็ม นับตั้งแต่ขุนทัพคนปัจจุบันขึ้นรับหน้าที่แก้ปัญหาความไม่สงบจังหวัดภาคใต้ ท่านได้ตั้งเจตนารมณ์ข้อหนึ่งที่สังคมสื่อ และฝ่ายปฏิบัติด้านความมั่นคงทราบกันดี คือ “จัดตั้ง และใช้งานเครือข่ายอย่างกว้างขวาง” อีกทั้ง กำหนดนโยบายเฉพาะหน้า ที่ยังคงใช้ถึงปัจจุบัน และเป็นประโยคคลาสสิคที่สุด ตั้งแต่เริ่มเหตุการณ์ความไม่สงบ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ นั้นคือ นโยบาย “สานใจสู่สันติ” ที่ระดับขุนรอง ถึง ไอ้เณรคนสุดท้ายต้องท่องจำให้ขึ้นใจ และปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม มีข้อหนึ่งที่สอดประสานขานรับกันอย่างลงตัว คือ “เปิดโอกาสให้ผู้มีความคิดเห็นต่างกับรัฐได้มีช่องทางสามารถแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา” แต่ทั้งนี้ขุนทัพอย่างท่านแม่ทัพภาค ๔ ยังเน้นย้ำอีกว่า “รับไม่ได้ถ้าหยิบอาวุธมาต่อสู้ และต้องว่ากันด้วยกฎหมายเท่านั้น” แต่ก็ยังกำหนด และเปิดโอกาสให้ทุกคน โดย “พร้อมอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนทุกหมู่เหล่าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ เดินทางกลับมาอยู่อาศัยในภูมิลำเนาเดิมอย่างสงบสุข” ซึ่งประชาชนในที่นี่ ขุนทัพ ยังหมายถึง กลุ่มขบวนการทั้งคนหนุ่ม     คนแก่ ทั้งหญิง และชาย ที่เป็นกลุ่มขบวนการก่อเหตุรุนแรงแต่ท่านถือว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้หลงเข้าใจผิด จากการรับรู้ที่ถูกบิดเบือนจากกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน ที่สั่งสอนสั่งสมจากความคิด ความเชื่อในทางศาสนาอย่างบิดเบือน ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมืออย่างผิด ๆ จนประชาชนเหล่านั้นหลงเข้าต่อสู้กับฝ่ายรัฐ สร้างความสูญเสียให้กับประชาชนโดยส่วนรวม และขยายวงกว้างออกไปจนเกิดผู้ที่ไม่เข้าใจถ่องแท้ในยุทธศาสตร์ของกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน ที่หลบซ่อนตัวในต่างประเทศ อีกทั้งยังไม่เชื่อว่าขบวนการเหล่านี้มีอยู่จริง เพราะรัฐไทยไม่สามารถนำบุคคลเหล่านี้มาแสดงตัวลงโทษตามกฎหมายได้ ก็ด้วยความจำกัดในเรื่องกฎหมายต่างประเทศ ที่คนสองสัญชาติเดินทางเข้าออกระหว่างไทยกับมาเลเซียได้อย่างเสรี จึงทำให้เกิดบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กรภาคประชาสังคม องค์กรสิทธิมนุษยชน องค์กรนักศึกษา เคลื่อนไหวเรียกร้อง สันติสุขให้เกิดกับพี่น้องประชาชนจังหวัดภาคใต้ ซึ่งส่งผลให้การปฏิบัติงานของฝ่ายความมั่นคง ยุ่งยากซับซ้อน มากยิ่งขึ้น เกิดเป็นช่องทางที่กลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนใช้แสวงประโยชน์ โจมตีรัฐ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้อย่างเสรี โดยที่องค์กรเหล่านี้ไม่ทราบเลยว่า ตกเป็น “แนวร่วมมุมกลับ”
นักศึกษามหาวิทยาลัย ท่านหนึ่งได้มีโอกาสพูดคุยกับ เพื่อนนักศึกษาด้วยกัน เขาให้ข้อมูลว่า เมื่อสายของวันที่ ๒๑ มิ.ย. บริเวณตึกใหญ่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า เขาเป็นหนึ่งในตัวแทนนักศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษา ชาย หญิง และอาจารย์ จำนวน ๔๐ คน จาก ม.ปัตตานี, ม.นราธิวาสราชนครินทร์, ม.ราชภัฏยะลา และ ม.อิสลามยะลา ได้เข้าพบ พูดคุยกับ แม่ทัพภาค ๔ เพื่อหารือแนวทางถึงการสร้างความเข้าใจ ระหว่างนักศึกษา กับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งในการรักษาความมั่นคง ภายใน ๔ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งการได้เข้าพบปะกับแม่ทัพครั้งนี้เขาบอกว่า น่าจะเกิดจากการที่มีกลุ่มนักศึกษาบางกลุ่มที่ได้ออกมาเคลื่อนไหว ต่อต้านการทำงานของเจ้าหน้าที่ทหารในเรื่องต่างๆ โดยการออกมาเดินขบวน หรือจัดกิจกรรม ในโอกาสวันต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสถานการณ์เหตุการณ์ในพื้นที่ ทั้งยังมีกลุ่มหัวรุนแรง (Hard Core)บางคน บางกลุ่ม ที่ใช้ข้อมูลประวัติศาสตร์ และศาสนา มาปลุกระดม ซึ่งเขามองว่ากลุ่มที่มาวันนี้เป็นกลุ่มนักศึกษานักกิจกรรมทางสร้างสรรค์มากกว่า ซึ่งตัวเขาเองก็เป็นนักกิจกรรมในการเป็นตัวแทนของสถาบันในการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ กับเพื่อนต่างสถาบัน และต่างจังหวัด ถึงแม้ตัวเขาเองจะเป็นมุสลิม แต่ก็ร่วมงานกิจกรรมกับเพื่อนต่างสถาบันที่นับถือศาสนาพุทธหลายครั้ง และกิจกรรมที่ออกมาเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ของกลุ่มพวกเขาจะไม่เกี่ยวกับการโจมตี หรือกล่าวหาว่าใคร แต่จะเป็นการแสดงออกในเรื่องสร้างสรรค์ การมีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดสันติสุข เช่นการเข้าค่ายนักศึกษาต่อต้านยาเสพติด การจัดกิจกรรมกีฬา หรือการเสวนาสันติภาพ แต่ในส่วนที่ออกมาเคลื่อนไหว เพื่อตอกย้ำสถานการณ์ในพื้นที่นั้น รวมถึงการเคลื่อนไหวต่อต้านเจ้าหน้าที่ หรือ พ.ร.ก. นั้น พวกเขาไม่เคยเข้าไปร่วม ซึ่งก็เป็นที่รู้ดี กลุ่มนั้นเขาจะไม่มาพบท่านแม่ทัพอย่างแน่นอน และเขายังบอกต่อไปว่า แม้ตัวเขา และเพื่อนนักศึกษาอีกหลายคน รวมถึงอาจารย์ด้วย ก็คงจะไม่มีใครกล้าออกมาแสดงความคิดเห็นหรือคัดค้าน ความคิด ของเพื่อนนักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะต่างก็รู้ดีว่าอาจนำภัยมาสู่ตนเอง
จากบางคำถามที่มีเพื่อนักศึกษาได้ถามท่านแม่ทัพ ซึ่งบางคำถามที่ว่า “มีด่านตรวจตั้งเยอะแล้วยาเสพติดมาได้ไง” ซึ่งตัวนักศึกษาท่านนี้ได้ให้มุมมองว่า เขาเองเคยร่วมกิจกรรมกับเพื่อนต่างสถาบันที่จังหวัดเชียงราย นักศึกษาทางโน้นเขาก็จะถามเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า “ทำไมไม่ตั้งด่านตรวจให้เยอะ ๆ จะได้จับยาบ้าให้หมด ๆ ไป” ซึ่งมันเป็นมุมมองคนละด้านกันเลย ที่เขาบอกว่าเพื่อนของเขาที่ถามคำถามนี้ ส่วนหนึ่งก็จะได้รับข้อมูลบางอย่าง มาจากกลุ่มที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มักจะไม่มีใครขัดแย้ง หรือสามารถแสดงความคิดเห็นได้ ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย และมันก็คงไม่เป็นผลดีกับเจ้าหน้าที่ แต่เขาและเพื่อนก็พร้อมที่จะร่วมทำงาน ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ แต่ก็ต้องเข้าไปหาเขา และร่วมกันทำงาน รวมถึงต้องให้ความมั่นใจกับพวกเขาว่า เจ้าหน้าที่สามารถดูแลความปลอดภัยของพวกเขาได้ กลุ่มนักศึกษาที่มาในวันนั้นทั้งหมด เขาเชื่อว่าทุกคนล้วนสำนึกว่าเป็นคนไทย และมีความจงรักภักดีต่อในหลวง ถึงแม้นเขาเองจะมีเชื้อสายมลายู และนับถือศาสนาอิสลาม แต่เขาเองเชื่อว่า ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ และเรื่องราวในอดีตนั้นตัวเขาเองก็รับรู้ แต่ก็ไม่อยากให้อดีตมาเป็นตัวปัญหาของคนรุ่นปัจจุบัน เพราะประเทศเราต้องเดินไปข้างหน้า และอยู่ร่วมกันอย่างสันติดีกว่านักศึกษาท่านนี้ยังได้พูดทิ้งท้ายอีกว่าพวกเขาพร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการร่วมกันให้ข้อมูล
ที่ถูกต้อง เท็จจริง ของเหตุการณ์ใน ๓ จังหวัด เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ปัญหาร่วมกัน แล้วช่วยกันแก้ไข เพราะที่นี่ก็คือบ้านของเขาเอง ซึ่งเขาก็ไม่ต้องการความรุนแรง ที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องล้มหายตายจากทุกวัน ซึ่งตัวเขา และครอบครัวเองก็ไม่รู้ว่าจะถูกลูกหลงเมื่อไร
การเริ่มต้นผูกสัมพันธ์ที่ดี และการดึงพลังนักศึกษา เข้ามาร่วมรับทราบ สร้างความเข้าใจร่วมกัน
ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้าครั้งนี้ นับว่าเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องและตรงจุดที่สำคัญ ถึงแม้นจะไม่ถูกฝา ถูกตัว หรือที่เรียกว่าเกาไม่ถูกที่คัน อย่างน้อยก็เป็นการสร้างความเข้าใจกับกลุ่มนักศึกษาที่ส่วนใหญ่คงไม่มีใครอยากเข้าไปร่วมวงกับกลุ่มหัวรุนแรง และอีกอย่างเป็นการเปิดทางให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง เข้าไปสร้างกิจกรรมร่วมกันเพื่อดึงมวลชนนักศึกษาที่อาจรับฟังข้อมูลด้านเดียว จนทำให้พวกเขาถลำเข้าสู่วังวนที่เป็นเครื่องมือของกลุ่มขบวนการ และเป็นการเปิดทางให้พลังนักศึกษาที่เป็นนักกิจกรรมได้กล้าออกมาแสดงออกในทางสร้างสรรค์ เพื่อสังคมด้วยแนวทางสันติ โดยไม่มีการแบ่งแยกว่าจะเป็นไทยพุทธ หรือมลายูมุสลิม ด้วยพวกเขาล้วนเป็นเพื่อนกัน แต่สิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงเองก็จะวางใจไม่ได้ เพราะด้วยความที่ไม่รู้ของเหล่าน้องนักศึกษาที่รับข้อมูลด้านเดียวจนแยกแยะไม่ได้ว่า กลุ่มขบวนการเขาวางหมากมาอย่างแยบยลจนแยกไม่ออกว่าสิ่งไหนคือผิด และสิ่งไหนคือถูก จนทำให้ตัวเองเป็นเครื่องมือของกลุ่มขบวนการ รวมถึงกลุ่มนักศึกษาอีกกลุ่ม หรือตัวอาจารย์ ที่ต่างรู้ดีว่านี่คือการเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้อง และเป็นกลอุบายของขบวนการ แต่ก็ไม่อาจแสดงความคิด หรือคัดค้านได้ ด้วยความที่อีกกลุ่ม(HARD CORE) ได้ใช้ความเป็นอัตลักษณ์ และวิธีการที่พวกเขาก็ไม่กล้าเสี่ยงกับความปลอดภัยในชีวิต จนถึงเจ้าหน้าที่เองที่อาจรู้ไม่เท่าทันกลุ่มขบวนการ โดยขาดการวิเคราะห์ ซึ่งทั้งสามกลุ่มนี้เองใช่ใหมที่นักวิชาการความมั่นคงเรียกว่า “แนวร่วมมุมกลับ”

ความเข้าใจ และแนวร่วมมุมกลับ (ตอนที่ ๒)


ในราชอาณาจักรไทย ประชาชนอยู่ร่วมกันภายใต้พระบรมโพธิสมภารของบูรพมหากษัตริย์ไทย
อย่างร่มเย็นเป็นสุข การรับรู้ถึงกันทั่วทุกผืนแผ่นดิน ๗๗ จังหวัด ประชาชนชาวไทยไปมาหาสู่ดุจดั่งพี่น้องญาติมิตร ในยามใดที่ส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรไทย ประสบทุกข์เข็น ไม่ว่าด้วยเรื่องอันใด เช่น ภัยธรรมชาติ ภัยจากสงครามตามแนวชายแดน ภัยจากโรคระบาด เมื่อนั้นปวงประชาชน ทุกคน ทุกหมู่เหล่า จักประจักษ์ถึงน้ำพระทัยจากพระมหากษัตริย์ไทย และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ที่น้อมพระทัยเข้าช่วยเหลือพสกนิกรของพระองค์โดยทันที และขณะเดียวกันประชาชนชาวไทยทั่วทุกสารทิศจะร่วมกันช่วยเหลืออย่างไม่มีที่ใดในโลกเสมอเหมือนประเทศไทย นั่นแสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจงดงาม และชอบช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อตกทุกข์ได้ยาก นิสัยของคนไทยทุกคน เมื่อมองมายังสุดปลายด้ามขวานของราชอาณาจักรไทย สถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ นับตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ ถึงปัจจุบัน ทำให้ประชาชนชาวไทยใน ๓ จังหวัด ได้รับความเดือดร้อนอันตรายต่อการดำรงชีวิต และ ความเสียหายของทรัพย์สิน ทั้งภาครัฐ และเอกชน แต่ผลความเดือดร้อนส่วนใหญ่เป็นประชาชนชาวไทยพุทธ – ไทยมุสลิม ที่ไม่มีอาวุธ และไม่ใช่คู่ขัดแย้งโดยตรง ของกลุ่มขบวนการที่ทำการต่อสู้กับราชอาณาจักรไทยซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้องค์กรภาคประชาสังคมทั้งใน และต่างประเทศ รวมทั้งองค์กรที่เกิดจากกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบไม่น้อยกว่า ๓๐๐ องค์กร เข้ามาเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่ก็มีบางองค์กรซ้ำเติมสร้างความเดือดร้อน ฉกฉวยโอกาสจากความทุกข์ยากของประชาชน ขณะเดียวกันเครือข่ายของกลุ่มขบวนการก็ได้ใช้โอกาสของความเป็นประเทศเสรีประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทย ความเป็นประเทศที่มีผู้คนจิตใจโอบอ้อมอารี กลุ่มขบวนการก่อเหตุรุนแรงจึงได้ตั้งองค์กร หรือมูลนิธิบังหน้าเพื่อรับเงินบริจาค เงินสนับสนุนจากในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศโลกอาหรับ เช่น เงินบริจาคช่วยเหลือเด็กกำพร้าจากเหตุการณ์ เงินสนับสนุนการศึกษาในสถานศึกษาศาสนา เป็นต้น ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวเปิดทางให้กลุ่มขบวนการก่อเหตุรุนแรง เข้าตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อสร้างความได้เปรียบ โจมตีการทำงานของรัฐ เพิ่มอำนาจการต่อรองกับราชอาณาจักรไทย และเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ 
     ในขณะเดียวกันก็มีการเคลื่อนไหว เพื่อเรียกร้องสันติให้กับพี่น้องประชาชนชาวมลายู ที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นประชาชนชาวไทยเชื้อสายมาลายูส่วนใหญ่ใน ๓ จังหวัดภาคใต้ โดยลืมนึกถึงจิตใจ ความรู้สึกและการเป็นผู้ถูกกระทำจากกลุ่มขบวนการผู้ก่อเหตุรุนแรง ต่อพี่น้องประชาชนชาวไทยพุทธ และชาวไทย เชื้อสายจีน ใน ๓ จังหวัดภาคใต้ รวมถึงการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิต่างๆที่มีการสูญเสีย หรือเกิดการผิดพลาดจากผลการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ ในสภาวะที่จำกัด และสภาพแวดล้อมที่กดดัน ที่เกิดกับประชาชนมุสลิม ที่นับถือศาสนาอิสลาม เพื่อเรียกร้อง และนำไปสู่การยกเลิกการใช้กฎหมายพิเศษ พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ ๓ จังหวัดภาคใต้ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวโดยกลุ่มนักศึกษาบางกลุ่มใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งรัฐเองก็ต้องยอมรับในสิทธิ เสรีภาพในการเคลื่อนไหว เรียกร้องใดๆก็ตาม โดยเสรีในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ไทยเป็นประมุข และเป็นที่ยอมรับได้ โดยไม่มีการใช้ความรุนแรง และต้องไม่มีการยั่วยุ ปลุกระดมให้มีการจับอาวุธมาต่อสู้กัน แต่ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ฝ่ายรัฐที่ปฏิบัติงานด้านความมั่นคง ต้องมีสติ ใช้วิจารณญาณ หลักการสิทธิมนุษยชน ในการปฏิบัติอย่างระมัดระวัง ทั้งยังปฏิเสธไม่ได้ว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษา เป็นความยุ่งยาก ซับซ้อน ที่แทรกเข้ามาในมิติความมั่นคง ที่ทำให้ต้องปวดหัว ทำให้การแก้ไขปัญหาความสงบให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทยเชื้อสายมลายู ที่ถูกกระทำให้เดือดร้อน จากกลุ่มขบวนการก่อเหตุรุนแรง เช่น โรงเรียนถูกเผา โต๊ะอิหม่ามถูกยิง เป็นต้น จนซับซ้อนขึ้นกว่าที่เป็นอยู่  โดยนักศึกษากลุ่มนี้ ได้ประกาศถึงการเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนมลายู ปาตานี โดยจะไม่สนใจ      ต่อความรู้สึก หรือผลเสียหายใดๆเลย ที่เกิดกับประชาชน แต่จะมุ่งเคลื่อนไหว เรียกร้อง และโจมตีรัฐ โดยเฉพาะทหารให้ออกจากพื้นที่ ให้มีการยกเลิกการใช้กฎหมายพิเศษ รวมถึงกล่าวโทษว่าทหารเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้มีการก่อเหตุรุนแรง แต่ไม่เคยเรียกร้องให้กลุ่มขบวนการก่อเหตุรุนแรงหยุดก่อเหตุทำร้ายพี่น้องชาวไทย เชื้อสายมลายู หรือไทยพุทธ ไม่ว่าเด็กจนถึงคนแก่ ครู พระ ทั้งที่เกิดเหตุการณ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่น คนร้ายลอบวางระเบิด ๓๘ จุด เขตเทศบาลนครยะลา เมื่อ ๒๕ ต.ค. ๕๕ หรือ เหตุลอบวางระเบิด โรงแรมลีการ์เด้นหาดใหญ่ และ จังหวัดยะลา เป็นเหตุให้มีพี่น้องชาวไทยเชื้อสายมลายูเอง บาดเจ็บ และเสียชีวิต หลายราย เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๕๕ ที่ผ่านมา ความซับซ้อนของปัญหาเหล่านี้เอง และการก่อเหตุลงมือของกลุ่มขบวนการที่กระทำต่อพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์แบบต่อเนื่อง (Serial Crime) หรือองค์กรผิดกฎหมาย รวมถึงคดีที่มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจผิดกฎหมาย(Oraganized Crime) เช่นขบวนการค้าของเถื่อน ค้าอาวุธ และยาเสพติด ด้วยเหตุนี้เองรัฐจึงมีความจำเป็น ในการใช้กฎหมายพิเศษ พระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อความรวดเร็วในการดำเนินการ หยุดยั้งเหตุ และปัจจัยการก่อเหตุ จากกลุ่มขบวนการที่มีการจัดตั้งเป็นขบวนการลับ ทำงานโดยใช้เวลาน้อยมีการช่วยเหลือการหลบหนีอย่างเป็นระบบ แต่ขณะเดียวกันการปฏิบัติจากการใช้กฎหมายพิเศษ โดยผู้มีอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมายพิเศษ ต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวังบนพื้นฐานของการไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม กลุ่มนักศึกษาก็ยังคงมีความพยายามหยิบยกข้อผิดพลาดของรัฐในอดีตมาสร้างประเด็น จัดกิจกรรม เคลื่อนไหว เพื่อเรียกร้องให้หลายฝ่ายทั้งใน และนอกประเทศหันมามองกลุ่มตน และสนับสนุนการเคลื่อนไหว รวมถึงการให้กองทุนเพื่อเคลื่อนไหว จนมีบางคนได้ไปเที่ยวต่างประเทศมาแล้ว ซึ่งความชอบธรรมของการเคลื่อนไหวดังกล่าว เป็นการตอกย้ำความรู้สึกที่เจ็บปวดของพี่น้องประชาชน เช่น เหตุการณ์กรือเซะ, ตากใบ, มัสยิดอัลฟูรกอน บ.ไอปาแยร์, การตายของอิหม่ามยะผา, เหตุการณ์บ้านปุโล๊ะปูโย จ.ปัตตานี แม้กระทั่งนำเรื่องสิทธิสตรีที่ควรปกปิดมาเปิดเผยสร้างความชอบธรรมกับกลุ่มตน โดยไม่คำนึงถึงว่าเธอจะอยู่ในสังคมอย่างไร หลังจากการที่มีคลิปหลุดในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ทั้งที่มีการตกลงทำความเข้าใจกับญาติของผู้หญิง และฝ่ายชายแล้ว รวมถึงการเชิญตัวนักศึกษาบางคนเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการก่อเหตุในพื้นที่ ตามอำนาจกฎหมายพิเศษ ทั้งที่ตามกฎหมายได้ระบุไว้แล้วว่าบุคคลนั้นไม่ได้เป็นผู้ต้องหา หรือผู้ต้องสงสัย แต่เป็นการขอความร่วมมือเพื่อความกระจ่างในข้อมูลตามเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งนี่เองเป็นประเด็นสำคัญที่กลุ่มนักศึกษาอ้างว่าถูกคุกคามสิทธิ ในปัญหาการก่อความรุนแรง ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐต้องคอยระมัดระวังดูแล รับผิดชอบความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ ควบคู่กับประเด็นที่องค์กรภาคประชาสังคม องค์กรสิทธิมนุษยชน และองค์กรนักศึกษา ที่เคลื่อนไหวกันอย่างเสรี บนความทุกข์ที่พี่น้องประชาชนได้รับจากการกระทำของขบวนการผู้ก่อเหตุรุนแรงทุกวัน และเป็นที่เข้าใจหรือเป็นที่เรียกในฝ่ายความมั่นคงว่าเป็น “แนวร่วมมุมกลับ” ให้ฝ่ายขบวนการก่อเหตุรุนแรง เป็นการเปิดทาง และโอกาสให้กลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน ได้แสวงหนทางโจมตีฝ่ายรัฐได้อย่างเสรี เพื่อเป้าหมายสุดท้ายคือการแบ่งแยกดินแดน และเข้าปกครองประชาชนด้วยระบอบรัฐจักรวรรดินิยมอิสลาม “แนวร่วมมุมกลับ”ในนิยามของหลายบุคคลที่ทำงานด้านความมั่นคง อาจมีความหมายแตกต่างกันไป แต่เป็นที่เข้าใจได้ว่า ในพื้นที่ ๓ จังหวัดภาคใต้ คือบุคคล กลุ่มบุคคล ที่ไม่ได้อยู่กับฝ่ายขบวนการก่อเหตุรุนแรง แบ่งแยกรัฐปาตานี และไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้ง ต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาล แต่มีความคิด ความรู้สึก ความไม่เข้าใจที่ไม่ตรงกัน ฐานข้อมูลที่รับรู้ไม่เหมือนกัน จนถึงการสื่อสารที่ไม่ตรงกัน จนก่อให้เกิดความคิดเห็นต่างที่ บุคคล กลุ่มบุคคล องค์ต่างๆ แสดงออกเคลื่อนไหว อย่างเสรี บนพื้นฐานเพื่อสันติภาพ ความเสมอภาค และสันติสุขสู่พี่น้องประชาชนชาวไทย เชื้อสายมลายูมุสลิม แต่กลับเป็นผลให้ขบวนการปฏิวัติแบ่งแยกดินแดน ได้รับประโยชน์ในการทำสงครามประชาชน สร้างสถานการณ์ให้โอกาสกลุ่มขบวนการได้เข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ เพื่อลดความชอบธรรมของรัฐ ในราชอาณาจักรไทย สร้างความซับซ้อนในการแก้ไขปัญหาให้กับ ๓ จังหวัดภาคใต้ ของประเทศไทยของฝ่ายความมั่นคงยุ่งยากซับซ้อนขึ้น โดยบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กร เหล่านี้ไม่รู้ตัว หรือหลงลืมไปว่าผู้ที่ได้รับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส จากการกระทำของกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน แท้จริงนั่นคือ ประชาชน
ดังนั้น พวกเราจึงขอเชิญชวนให้คณะนักศึกษาที่เราทราบว่า โดยแท้จริงท่านนั้นมีความจริงใจ มีความมุ่งหวังที่อยากมาช่วยแก้ไขปัญหาให้พื้นที่ชายแดนภาคใต้ของเรา ได้เกิดความสุขสงบ จบสิ้นซึ่งความโหดร้าย อยุติธรรม เกิดปัญหาเด็กกำพร้า มีผู้บาดเจ็บ พิการ ปัญหาสิ่งเสพติดไม่มี พวกเราขอขอบคุณในความปรารถนาและหวังดีของท่าน แต่เราเพียงแต่อยากให้ท่านได้แยกแยะว่าสิ่งใดที่กระทำการเรียกร้อง เพื่อความสุขสงบต่อประชาชนอย่างแท้จริง ขอให้ท่านได้กระทำต่อไป โดยพวกเราขอส่งเสริม แต่หากสิ่งใดที่กระทำแล้วกลับเป็นการส่งเสริมให้พวกก่อเหตุ เข้าใจว่าเป็นความถูกต้อง ถูกทำนองครองธรรมแล้วก็หันกลับไปทำร้ายประชาชน เจ้าหน้าที่ในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงพวกค้ายาเสพติด มีช่องทางค้าขายยาแก่พี่น้องของเราอย่างไม่กลัวโทษทัณฑ์เพราะเจ้าหน้าที่มั่วยุ่งเหยิงอยู่กับพวกวางระเบิด ทำร้ายผู้คน พวกเราว่าท่านอย่าได้กระทำเลย แต่ในทางตรงกันข้ามหันกลับมาเรียกร้องให้พวกก่อเหตุหยุดการกระทำ ผู้ค้ายาหยุดการค้ายา เช่นนั้นไม่ดีกว่าหรือ?

11.11.55

องค์กรนักศึกษาใน จชต. ความเคลือบแฝงในเงามืด ความจริงที่ต้องเปิดเผย


      ในกระแสการต่อสู้ด้านการเมืองระหว่างรัฐบาลไทยกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ดำเนินมาอย่างยาวนานนั้น ยุทธศาสตร์การสร้างแนวร่วมของขบวนการแบ่งแยกดินแดนเพื่อใช้เป็นมวลชนสนับสนุนเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ถูกนำมาใช้อย่างได้ผล โดยเฉพาะการใช้ความแตกต่างทางอัตลักษณ์ ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และศาสนามาบิดเบือนโดยมุ่งหวังจุดประกายความแตกแยก สร้างสถานการณ์ให้ลุกลามจนนำไปสู่การเข้ามาแทรกแซงขององค์กรระหว่างประเทศ แล้วเข้าสู่กระบวนการแยกตัวเป็นเอกราชต่อไป
ในช่วงเกือบ ๒๐ ปีที่ผ่านมาขบวนการใช้วิธีการนี้ในหลายกลุ่มเป้าหมาย และที่เกิดผลมากที่สุดคือกลุ่มเยาวชนทั้งนอกและในสถานศึกษา โดยเฉพาะในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามและ “ปอเนาะ” โดยได้แอบแฝงเข้าไปในสถานศึกษาในภาพของครูสอนศาสนาอิสลาม ใช้การปลุกระดมบ่มเพาะด้วยการนำประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาอิสลามมาบิดเบือน เพื่อให้เกิดความคิดความเชื่อที่แตกต่าง สร้างความรู้สึกให้เกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐและระบบการปกครองของรัฐบาลไทย และเยาวชนส่วนหนึ่งจะถูกคัดเลือกเข้ารับการฝึกเป็นแนวร่วมปฏิบัติการ เพื่อใช้ในการก่อเหตุรุนแรง ส่วนเยาวชนที่มีความรู้ความสามารถในการถ่ายทอดจะถูกคัดเลือกให้เป็นผู้ขยายผลในการสร้างแนวร่วมในสถานศึกษาในแห่งอื่น ๆ ต่อไป
ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้การ ปลูกฝังโดยการบิดเบือนข้างต้น  ได้แพร่กระจายไปสู่โรงเรียนตาดีกาซึ่งเป็นระดับเด็กเล็กที่ยังไร้เดียงสา  เพราะง่ายต่อการปลูกฝังแนวคิดผิดๆ เหล่านั้น  ซึ่งก็ดำเนินการโดยเยาวชนที่ได้ถูกคัดเลือกและผ่านกรรมวิธีการถูกปลูกฝังบ่มเพาะมาแล้วนั่นเอง โดยการแฝงตัวเข้าสู่องค์กรนักศึกษาระดับอุดมศึกษาสถาบันต่าง ๆ ทั่ว จชต.ซึ่งแนวร่วมเหล่านี้นอกจากจะเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐโดยใช้ชื่อ “องค์กร นักศึกษาใน จชต.” มาโดยต่อเนื่องแล้ว ยังได้ขยายแนวคิดเชิงลบนี้ไปยังสถาบัน การศึกษาอื่น ๆ ในหลายวิธีการ รูปแบบหนึ่งคือการจัดกิจกรรมอำพรางในลักษณะการอบรมเข้าค่ายจริยธรรมบ้าง แนะแนวการศึกษาบ้างเพื่อนำเยาวชนออกนอกสถานศึกษาแล้วทำการปลูกฝังความเชื่อผิดๆ  มีการสอนให้ใช้ความรุนแรง  ยุยงปลุกปั่นให้เกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐตั้งแต่เด็กๆ  ซึ่งการกระทำดังกล่าวผู้บริหารโรงเรียนไม่ได้รับรู้เนื่องจากได้แต่อนุญาตเพราะเห็นชื่อกิจกรรมดี  แต่ไม่ได้ติดตามตรวจสอบรายละเอียด ปล่อยให้ผู้จัดกิจกรรมปฏิบัติไปตามอำเภอใจ ซึ่งผลที่เกิดขึ้นนั้นนับว่าร้ายแรง เพราะเป็นการกระทำต่อเด็กที่จะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต ให้มองว่าการกระทำรุนแรงนั้นๆ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง
หากยังมองภาพความสูญเสียในระยะยาวไม่ออก ลองนึกถึงการทำลายสิ่งสาธารณะ เผาตู้โทรศัพท์ เผากล้องวงจรปิด ความไม่มีวินัยในตนเอง การไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร การใช้กฎหมู่เพื่ออยู่เหนือกฎหมาย และที่หนักมากที่สุดและเกิดขึ้นแล้วคือ การลอบเผาโรงเรียนที่ผู้ก่อเหตุเป็นเพียงเยาวชนที่ทำเพื่อต้องการได้โทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน  แล้วลองพิจารณาดูว่าเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศหรือไม่นอกจากในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้...เท่านั้น
นี่ไม่ใช่หรือคือผลงานอัปยศในการสร้างความเกลียดชังทางเชื้อชาติให้เกิดขึ้นกับเยาวชนเหล่านั้นของแนวร่วมที่แฝงตัวมาในคราบนักศึกษา ด้วยการปลูกฝังเช่นนี้เยาวชนเหล่านั้นจะเติบโตมาบนพื้นฐานความคิดแบบผิด ๆ แล้วบ้านนี้เมืองนี้จะอยู่ต่อไปอย่างสงบสุขได้อย่างไร และนี่คือการกระทำที่น่ารังเกียจของขบวนการฯ ที่มุ่งกระทำต่อเยาวชนแบบไร้จิตสำนึก
          กิจกรรมของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วประเทศส่วนใหญ่เป็นการใช้พลังของเยาวชนหนุ่มสาวในเชิงสร้างสรรค์ใช้ความเป็นปัญญาชนเข้าช่วยเหลือจรรโลงสังคมอย่างมีสำนึกรับผิดชอบเป็นสำคัญ และปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยพลังของนักศึกษานี่แหละที่เคยเป็นส่วนขับเคลื่อนสำคัญในการแก้ไขปัญหาให้กับบ้านเมืองมาแล้วหลายต่อหลายครั้งในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งองค์กรนักศึกษาใน จชต. ส่วนใหญ่ก็ยึดถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน เช่น การเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ภาครัฐให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุรุนแรงอย่างจริงจัง การเรียกร้องให้ยุติการใช้ความรุนแรง หรือแม้แต่การประณามการก่อเหตุรุนแรงที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคมอื่น ๆ นี่สิคือบทบาทที่น่ายกย่องและสมควรขับเคลื่อนต่อไป
การปล่อยให้มีนักศึกษาซึ่งเป็นแนวร่วมของขบวนการฯ แอบแฝงเข้ามาอยู่องค์กรฯ  แอบอ้างชื่อองค์กรนักศึกษาในการทำกิจกรรมที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสังคมในระยะยาว  จึงเท่ากับเป็นการปล่อยให้ผู้ไม่หวังดีเหล่านั้นทำลายชื่อเสียงและความตั้งใจดีของนักศึกษาในพื้นที่ จชต. ทั้งหมดให้เสียหายลงไปด้วย เหนือสิ่งอื่นใดในยามที่บ้านเมืองยังเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตรายวันจากการกระทำอันป่าเถื่อนของผู้ก่อเหตุรุนแรงอย่างไม่มีท่าทีว่าจะยุติลงได้ง่าย ๆ ความร่วมมือของทุกคนทุกฝ่ายเท่านั้นที่จะเป็นพลังอันสำคัญที่จะช่วยให้ฝันร้ายของพี่น้องประชาชนใน จชต.จบสิ้นลงได้โดยเร็ว
ในส่วนของนักศึกษาก็ขอเป็นกำลังใจในการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดความสงบสันติในบ้านเมืองของเราตามเจตนารมณ์และบทบาทที่สามารถทำได้ในฐานะปัญญาชนต่อไป  แต่ถ้าจะให้บรรลุผลดีขึ้นลองตรวจสอบองค์กรของตนเองหน่อยเป็นไรว่า  ใครเป็นผู้ที่ทำลายความปรารถนาดีของเราเหล่านักศึกษาที่มีต่อบ้านเมือง ใครแอบเข้ามาอ้างชื่อองค์กรนักศึกษาจัดกิจกรรมทำลายสังคมเพียงเพื่อทรัพย์สินที่แกนนำของขบวนการที่โยนให้

*****************************************

ผลงานอัปยศในการสร้างความเกลียดชังทางเชื้อชาติ


ในกระแสการต่อสู้ด้านการเมืองระหว่างรัฐไทยกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ดำเนินมาอย่างยาวนานนั้น ยุทธศาสตร์การสร้างแนวร่วมของขบวนการแบ่งแยกดินแดนเพื่อใช้เป็นมวลชนสนับสนุนเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ถูกนำมาใช้อย่างได้ผล  โดยเฉพาะการใช้ความแตกต่างทางอัตลักษณ์ ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และศาสนามาบิดเบือน  โดยมุ่งหวังจุดประกายความแตกแยก  สร้างสถานการณ์ให้ลุกลามจนนำไปสู่การเข้ามาแทรกแซงขององค์กรระหว่างประเทศแล้วเข้าสู่กระบวนการแยกตัวเป็นเอกราชต่อไป
          ในช่วงเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาขบวนการใช้วิธีการนี้ในหลายกลุ่มเป้าหมาย และที่เกิดผลมากที่สุดคือกลุ่มเยาวชนทั้งนอกและในสถานศึกษา โดยเฉพาะในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามหรือ “ปอเนาะ” โดยได้แอบแฝงเข้าไปในสถานศึกษาในภาพของครูสอนศาสนาอิสลาม ใช้การปลุกระดมบ่มเพาะด้วยการนำประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาอิสลามมาบิดเบือน  เพื่อให้เกิดความคิดความเชื่อที่แตกต่าง สร้างความรู้สึกให้เกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐและระบบการปกครองของรัฐไทย  และเยาวชนส่วนหนึ่งจะถูกคัดเลือกเข้ารับการฝึกเป็นแนวร่วมปฏิบัติการ เพื่อใช้ในการก่อเหตุรุนแรง  ส่วนเยาวชนที่มีความรู้ความสามารถในการถ่ายทอดจะถูกคัดเลือกให้เป็นผู้ขยายผลในการสร้างแนวร่วมในสถานศึกษาในแห่งอื่นๆ ต่อไป 
          ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้น  ขณะนี้การ ปลูกฝังโดยการบิดเบือนข้างต้น  ได้แพร่กระจายไปสู่โรงเรียนตาดีกาซึ่งเป็นระดับเด็กเล็กที่ยังไร้เดียงสา  เพราะง่ายต่อการปลูกฝังแนวคิดผิดๆ เหล่านั้น  ซึ่งก็ดำเนินการโดยเยาวชนที่ได้ถูกคัดเลือกและผ่านกรรมวิธีการถูกปลูกฝังบ่มเพาะมาแล้วนั่นเอง  โดยการแฝงตัวเข้าสู่องค์กรนักศึกษาระดับอุดมศึกษาสถาบันต่างๆ ทั่ว จชต. ซึ่งแนวร่วมเหล่านี้นอกจากจะเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐโดยใช้ชื่อ “องค์กรนักศึกษาใน จชต.”  มาโดยต่อเนื่องแล้ว  ยังได้ขยายแนวคิดเชิงลบนี้ไปยังสถาบันการศึกษาอื่นๆ  ในหลายวิธีการ   รูปแบบหนึ่งคือการจัดกิจกรรมอำพรางในลักษณะการอบรมจริยธรรมบ้าง แนะแนวการศึกษาบ้างเพื่อนำเยาวชนออกนอกสถานศึกษาแล้วทำการปลูกฝังความเชื่อผิดๆ  มีการสอนให้ใช้ความรุนแรง  ยุยงปลุกปั่นให้เกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐตั้งแต่เด็กๆ  ซึ่งการกระทำดังกล่าวผู้บริหารโรงเรียนไม่ได้รับรู้เนื่องจากได้แต่อนุญาตเพราะเห็นชื่อกิจกรรมดี  แต่ไม่ได้ติดตามตรวจสอบรายละเอียด  ปล่อยให้ผู้จัดกิจกรรมปฏิบัติไปตามอำเภอใจ  ซึ่งผลที่เกิดขึ้นนั้นนับว่าร้ายแรง  เพราะเป็นการกระทำต่อเด็กที่จะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต ให้มองว่าการกระทำรุนแรงนั้นๆ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง
          หากยังมองภาพความสูญเสียในระยะยาวไม่ออก  ลองนึกถึงการทำลายสิ่งของสาธารณะ  เผาตู้โทรศัพท์ เผากล้องวงจรปิด  ความไม่มีวินัยในตนเอง การไม่ปฏิบัติตามกฏจราจร  การใช้กฏหมู่เพื่ออยู่เหนือกฏหมาย และที่หนักมากที่สุดและเกิดขึ้นแล้วคือ   การลอบเผาโรงเรียนที่ผู้ก่อเหตุเป็นเพียงเยาวชนที่ทำเพื่อต้องการได้โทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนดูสิ   แล้วลองพิจารณาดูว่าเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศหรือไม่นอกจากในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้...เท่านั้น 
          นี่ไม่ใช่หรือคือผลงานอัปยศในการสร้างความเกลียดชังทางเชื้อชาติให้เกิดขึ้นกับเยาวชนเหล่านั้นของแนวร่วมที่แฝงตัวมาในคราบนักศึกษา  ด้วยการปลูกฝังเช่นนี้เยาวชนเหล่านั้นจะเติบโตมาบนพื้นฐานความคิดแบบผิดๆแล้วบ้านนี้เมืองนี้จะอยู่ต่อไปอย่างสงบสุขได้อย่างไร และนี่คือการกระทำที่น่ารังเกียจของขบวนการฯ ที่มุ่งกระทำต่อเยาวชนแบบไร้จิตสำนึก
          กิจกรรมของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วประเทศ  ส่วนใหญ่เป็นการใช้พลังของเยาวชนหนุ่มสาวในเชิงสร้างสรรค์  ใช้ความเป็นปัญญาชนเข้าช่วยเหลือจรรโลงสังคมอย่างมีสำนึกรับผิดชอบเป็นสำคัญ  และปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยพลังของนักศึกษานี่แหละที่เคยเป็นส่วนขับเคลื่อนสำคัญในการแก้ไขปัญหาให้กับบ้านเมืองมาแล้วหลายต่อหลายครั้งในอดีตที่ผ่านมา  ซึ่งองค์กรนักศึกษาใน จชต. ส่วนใหญ่ก็ยึดถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน  เช่น การเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ภาครัฐให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุรุนแรงอย่างจริงจัง  การเรียกร้องให้ยุติการใช้ความรุนแรง หรือแม้แต่การประณามการก่อเหตุรุนแรงที่ทำให้มีผู้เสียเป็นจำนวนมากร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ  นี่สิคือบทบาทที่น่ายกย่องและสมควรขับเคลื่อนต่อไป
          การปล่อยให้มีนักศึกษาซึ่งเป็นแนวร่วมของขบวนการฯ แอบแฝงเข้ามาอยู่องค์กรฯ  แอบอ้างชื่อองค์กรนักศึกษาในการทำกิจกรรมที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสังคมในระยะยาว  จึงเท่ากับเป็นการปล่อยให้ผู้ไม่หวังดีเหล่านั้นทำลายชื่อเสียงและความตั้งใจดีของนักศึกษาในพื้นที่ จชต. ทั้งหมดให้เสียหายลงไปด้วย
         เหนือสิ่งอื่นใด  ในยามที่บ้านเมืองยังเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ  ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตรายวันจากการกระทำอันป่าเถื่อนของผู้ก่อเหตุรุนแรงอย่างไม่มีท่าทีว่าจะยุติลงได้ง่ายๆ  ความร่วมมือของทุกคนทุกฝ่ายเท่านั้นที่จะเป็นพลังอันสำคัญที่จะช่วยให้ฝันร้ายของพี่น้องประชาชนใน จชต. จบสิ้นลงได้โดยเร็ว 
          ในส่วนของนักศึกษาก็ขอเป็นกำลังใจในการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดความสงบสันติในบ้านเมืองของเราตามเจตนารมณ์และบทบาทที่สามารถทำได้ในฐานะปัญญาชนต่อไป  แต่ถ้าจะให้บรรลุผลดีขึ้นลองตรวจสอบองค์กรของเราหน่อยเป็นไรว่า  ใครเป็นผู้ที่ทำลายความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองของเราเหล่านักศึกษา  ใครแอบเข้ามาอ้างชื่อองค์กรนักศึกษาจัดกิจกรรมทำลายสังคมเพียงเพื่อเศษเงินที่แกนนำของขบวนการโยนให้  ถ้ายังไม่ทราบ...ดูภาพข้างบนนะ

ปอเนาะ “เบ้าหลอมแห่งอิสลาม”


 ยุทธศาสตร์การต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนตามแผนบันได 7 ขั้นขององค์กรนำในจังหวัดชายแดนภาคใต้   ซึ่งได้สร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมความเชื่อได้อย่างสุดประมาณ    และจะหยั่งรากฝังลึกต่อไปในพื้นที่นี้อีกอย่างยาวนานแม้ว่าวันหนึ่งการต่อสู้ด้วยอาวุธจะหมดไปก็ตาม  นั้นคือ ยุทธศาสตร์การสร้างแนวร่วมเพื่อใช้เป็นมวลชนสนับสนุน  โดยใช้ความแตกต่างทางอัตลักษณ์ ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และศาสนามาบิดเบือน  ซึ่งส่งผลให้เกิดการแตกแยกแบ่งฝ่ายระหว่างประชาชนทั้งสองศาสนาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  และแน่นอนว่าการบิดเบือนทั้งมวลมุ่งหวังจุดประกายให้สถานการณ์ลุกลามจนนำไปสู่การเข้ามาแทรกแซงขององค์กรระหว่างประเทศแล้วเข้าสู่กระบวนการแบ่งแยกดินแดนต่อไป
          ในช่วงที่ผ่านมาการแสวงหาแนวร่วมของผู้ก่อเหตุรุนแรงมักมุ่งเป้าหมายไปที่เยาวชนทั้งในนอกและในสถานศึกษา โดยเฉพาะในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามหรือ “ปอเนาะ” ซึ่งจากข้อมูลข่าวสารที่ฝ่ายความมั่นคงได้จากกระบวนการด้านการข่าว  ยืนยันได้ว่าผู้ก่อเหตุรุนแรงหรือแนวร่วมในระดับปฏิบัติการส่วนใหญ่เป็นเยาวชนในสถานศึกษา โดยกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้อาศัยช่องว่างทางการศึกษา  แอบแฝงเข้าไปในสถานศึกษาดังกล่าวในภาพของครูสอนศาสนาอิสลาม (อุสตาซ)   ใช้โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามเป็นสถานที่ดำเนินการปลุกระดมบ่มเพาะด้วยการนำประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาอิสลามมาบิดเบือน  เพื่อให้เกิดความคิดความเชื่อที่แตกต่าง จนนำไปสู่การเลือกข้างและเยาวชนส่วนหนึ่งจะถูกคัดเลือกเข้ารับการฝึกเป็นกองกำลัง RKK เพื่อใช้ในการก่อเหตุรุนแรง  โดยการปฏิบัติข้างต้นอยู่ภายใต้การให้การสนับสนุนของผู้บริหารสถานศึกษาบางรายทั้งที่เต็มใจและถูกกดดัน ข่มขู่ให้จำยอม  ซึ่งที่ผ่านมาจากการเข้าปิดล้อมตรวจค้นของฝ่ายความมั่นคงในโรงเรียนหลายแห่ง  ก็สามารถตรวจพบหลักฐานที่เชื่อมโยงกับผู้ก่อเหตุรุนแรง  อาทิ อาวุธปืน  ระเบิดหรืออุปกรณ์ประกอบ  ซึ่งที่ยืนยันได้ชัดเจนที่สุดคือ  การเข้าปิดล้อมตรวจค้นโรงเรียนอิสลามบูรพาเมื่อหลายปีที่ผ่านมา  ที่สามารถตรวจยึดหลักฐานสำคัญได้จำนวนมากจนนำไปสู่การจับกุมผู้ก่อเหตุรุนแรงและการระงับใบอนุญาติโรงเรียนในที่สุด
          นี่คือ.....ความจริงที่เกิดขึ้นในสถานศึกษาปอเนาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
          ล่าสุดจากการเข้าปิดล้อมตรวจค้นโรงเรียนวัฒนธรรมอิสลามพ่อมิ่ง ที่ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ของเจ้าหน้าที่  ก็สามารถตรวจยึดอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรงและพบปุ๋ยยุเรีย  สารประกอบระเบิดในเสื้อผ้าสิ่งของเครื่องใช้ตลอดจนพบสารทางพันธุกรรม (DNA) ที่ตรงกับ DNA ของคนร้ายที่พบในที่เกิดเหตุ  นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้เชิญตัวอุซตาสอีก 7 คนมาซักถามเพื่อหาความเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรงอีกด้วย
          แต่ไม่ว่าผลการตรวจสอบหลังจากนั้นจะเป็นเช่นไร  นี่ย่อมแสดงให้เห็นถึงผลเสียในการที่ผู้บริหารสถานศึกษาดังกล่าวยอมให้ผู้ก่อเหตุรุนแรงใช้เป็นปลกุระดมบ่มเพาะและเก็บซ่อนอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อเหตุรุนแรง ความเชื่อถือของพ่อแม่ผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานเข้าศึกษาในโรงเรียนนั้นๆ ก็จะลดน้อยลง  เพราะคงไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกตนเองต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรงแน่นอน  ชื่อเสียงของสถาบันการศึกษาที่สร้างสมมาอย่างยาวนานก็จะพลอยหม่นหมองไปด้วย
          สำหรับโรงเรียนวัฒนธรรมอิสลามพ่อมิ่งที่ได้ยกมาเป็นตัวอย่างนี้  ทราบว่าหลังจากนี้ฝ่ายความมั่นคงจะมีการจัดทำประวัติของครูและอุซตาสทุกคนเพื่อควบคุมการดำเนินงานและการเรียนการสอนของโรงเรียนอย่างเข้มข้น  รวมทั้งการกำหนดมาตรการเกี่ยวกับยาเสพติดที่เป็นปัญหาของสถานศึกษาส่วนมาก  โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเข้าดำเนินการกับโรงเรียนแห่งนี้ในลักษณะโครงการนำร่อง 
          การดำเนินการทั้งหมดนี้อาจมองว่าสร้างความยุ่งยากและส่งผลด้านชื่อเสียงให้กับสถานศึกษาอยู่พอสมควร  แต่หากมองอย่างเป็นเหตุเป็นผลแล้ว  มาตรการนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผล
           ในยุคเริ่มต้นของปอเนาะ  เจ้าของปอเนาะหรือบาบอทุกท่าน  ต่างเริ่มต้นสร้างโรงเรียนปอเนาะมาด้วยจิตอันเป็นกุศล  ต้องการสั่งสอนความรู้ทางศาสนาที่ถูกต้องให้กับลูกหลานตามวิถีอันดีงามของมุสลิม  แต่ความตั้งใจเริ่มแรกที่ดีกลับต้องมาถูกทำลายลงด้วยบุคคลบางคนบางกลุ่มที่ไม่มีความหวังดีต่อบ้านเมือง    และทำลายได้แม้กระทั่งคำสอนอันดีงามของศาสนาอิสลามเพียงเพื่อประโยชน์ของตนเองโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
          สถาบันการศึกษาควรเป็นสถานที่สั่งสอนให้เยาวชนมีความรู้   มีคุณธรรม จริยธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม  ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้เผยแผ่หลักธรรมคำสอนของศาสนายิ่งต้องตระหนักถึงการให้ความรู้ด้านศาสนาที่ถูกต้อง  การปล่อยปะละเลยให้ผู้ก่อเหตุรุนแรงใช้สถานที่เป็นเสมือนเบ้าหลอมให้เยาวชนเป็นคนดีของสังคม  ทั้งที่ตั้งใจ ไม่ตั้งใจหรือโดนข่มขู่บังคับจึงเป็นเหมือนการส่งเสริมให้ผู้ก่อเหตุรนแรงทำลายอิสลามให้มัวหมอง  ทำลายเยาวชนซึ่งเปรียบเสมือนผ้าขาวที่จะเติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของชาติ  ดังนั้นการตระหนักถึงบทบาท หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้บริหารสถานศึกษาทุกท่านจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยสร้างภาพลักษณ์อัน  ดีงามของอิสลามให้คงอยู่  สร้างเยาวชนให้เป็นคนดีของสังคม  และยังช่วยให้สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้กลับดีขึ้นในอีกไม่นาน