30.11.55

Jabatan Keselamatan Dalam Negari Kawasan 4 (Bahagian Hadapan)


             Rusuhan yang berlaku di Wilayah-wilayah Sempadan Selatan Thailand; Yala, Pattani, Naratiwat dan Songkhla sejak tahun 2004 sehingga kini 2012 menimbulkan banyak kemusnahan kepada nyawa rakyat, pegawai-pegawai dan harta benda kerajaan. Dalam mengadakan tindakan terhadap suspek yang terlibat, kerajaan Thailand yang diwakili oleh Mahkamah Keadilan dan Jabatan Keselamatan Dalam Negeri, Kawasan 4 Bahagian Hadapan telah mengadakan pertimbangan, proses soal selidik dan soal siasat terhadap mereka yang disyaki secara berterusan. Akan tetapi, dalam waktu yang sama tersiarnya berita dan maklumat-maklumat yang salah melalui sebahagian media, agensi atau beberapa organisasi yang berkenaan dengan hak kemanusiaan, yang boleh menjejaskan proses keadilan dan nama baik Negara Thai. Demi menimbulkan persefahaman terhadap kenyataan yang berlaku, dan terhadap niat baik kerajaan Thai, yang bertekad untuk menimbulkan keamanan dan kebahagian hakiki kepada rakyat di kawasan tersebut. Dengan ini Jabatan Keselamatan Dalam Negeri, Kawasan 4 Bahagian Hadapan mewakili kerajaan Thai dan Jabatan Keselamatan Dalam Negeri Kerajaan Thai menyatakan kepada mereka yang berkenaan dan semua rakyat Thai, di dalam maupun di luar Negara agar mengetahui tentang kenyataan-kenyataan yang berlaku seperti berikut:
            1. Kerajaan Thailand tetap mengiktiraf dan mematuhi resolusi dalam mengatasi masalah keamanan yang berlaku terhadap rakyat yang ikut terlibat, serta kerajaan semua negara yang mesti melaksanakan dengan berdasarkan prinsip-prinsip hak asasi manusia. Dan undang-undang penerusan hidup manusia secara teguh.
            2. Kerajaan dan Pejabat Keselamatan Dalam Negeri yang mewakili Jabatan Keselamatan Dalam Negeri, Kawasan 4 Bahagian Hadapan tidak akan mengecualikan dan akan melaksanakan hukuman secara keras terhadap mana-mana pegawai kerajaan atau pegawai soal selidik yang melakukan pencerobohan terhadap hak asasi manusia, atau melakukan sebarang perbuatan yang menceroboh hak peribadi yang boleh menimbulkan kemusnahan terhadap jiwa, anggota badan atau harta rakyat yang memasuki proses ini.


            3. Maklumat statistik dalam pelaksanaan terhadap rakyat yang disyaki, mereka yang masuk ke dalam proses soal selidik yang dijalankan oleh pegawai, pihak kerajaan Thai melalui pegawai soal siasat terpaksa melaporkan jumlah secara total, termasuk juga kes-kes keamanan yang bertujuan untuk menimbulkan keganasan dan ketidakamanan di kawasan tertentu. Dan kes-kes yang berlaku tujuan peribadi yang dinamakan kes umum, antaranya ialah kejadian yang berlaku antara tahun 2004 hingga tahun 2012 sebanyak 102,367 kes. Akan tetapi pada kenyataannya kes keamanan yang berlaku hanya 8,537 kes sahaja atau 8.31 peratus atau purata 25.6 kes/daerah/tahun dalam tempoh 9 tahun yang lalu.
            4. Laporan jumlah total terhadap kes-kes yang berlaku, pada awalnya boleh menimbulkan kekeliruan yang ketara, disebabkan beberapa perkara di bawah;
        Pertama Untuk memastikan kes setelah menjalankan penangkapan tidak boleh dipastikan dengan secepat mungkin. Oleh kerana terpaksa menunggu saksi yang berupa benda atau saksi di segi forinsik secara jelas barulah boleh dipastikan terhadap kes-kes itu. Oleh yang demikian, maka hal ini dinyatakan dalam bentuk umum, dengan ini menyebabkan jumlah kes-kes yang berlaku sangat banyak.
        Kedua Pengumuman jenis kes, bahawa yang manakah kes keamanan dan yang manakah kes peribadi dengan tanpa pertimbangan yang serius, boleh menjejaskan kes atau hak yang akan diperolehi oleh rakyat terhadap kes keamanan atau kes umum.
            5. Dari kes-kes keamanan berjumlah 8,537 kes di atas. Setelah dimasukkan kedalam proses soal siasat, adu dan pembicaraan kes, pihak soal siasat, pendakwa dan mahkamah kerajaan Thai telah menggunakan prinsip keadilan dan kemanusiaan dalam pembicaraan tersebut. Dan kes-kes itu hanya boleh diadukan hanya 430 kes sahaja. Hasil pembicaraan yang terakhir boleh diputuskan hukuman mengikut proses keadilan Neagara Thai berjumlah sebanyak 177 kes. Dan kes dipecat untuk faedah kepada mereka yang disyaki sebanyak 253 kes atau 58.84 kes.
            6. Kerajaan Negara Thai dan jemaah kerja proses keadilan bagi Negara Thai berharap butir-butir di atas dapat mengahapuskan salah faham, dan mohon yakin terhadap keikhlasan, keadilan yang berteraskan hak asasi manusia dalam mengatasi masalah keamanan di kawasan-kawasan Wilayah Sempadan Selatan Thai yang akan diadakan secara terus menerus, tekun dan sabar dan boleh didedahkan kepada khalayak pada bila-bila masa.

Lampiran A Dokumentari Jabatan Keslamatam Negeri Kawasan 4 Bahagian Hadapan

















18.11.55

มือระเบิดป่วนใต้เปิดใจ ชีวิตลำบากถูกขบวนการหักหลังและหลอกใช้สุดท้ายไม่ตายก็ติดคุก



         “ลูกเราเกิดมาอนาคตจะเป็นอย่างไร เราก็เข้าๆ ออกๆ หนีบ้าง อยู่บ้าง งานการก็ไม่ได้ทำ" เป็นคำพูดเปิดใจของ "มะนาวี" มือประกอบระเบิดซึ่งมีพื้นที่ปฏิบัติการอยู่ใน อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ที่ได้อธิบายเหตุผลของการตัดสินใจหันหลังให้ขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน ซึ่งก่อความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้อย่างต่อเนื่องมานานเกือบ 9 ปี
เหตุผลของ "มะนาวี" ไม่ต่างอะไรกับ "บักรี" หัวหน้ากองกำลังติดอาวุธผู้รับผิดชอบหนึ่งในสามโซนของ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส "ทุกคนอ่อนที่ครอบครัวทั้งนั้น พอได้แฟน ได้ลูก เราก็จะกลับมาคิด"

"เรามองชีวิตที่เป็นอยู่แล้วไม่สบายใจ เห็นคนอื่นซื้อไอศครีมแท่งละ 25 บาทให้ลูก เราต้องซื้อลูกชิ้นไม้ละ 5 บาทมี 4 ลูก ช่วงรายอต้องหลบๆ ซ่อนๆ พาลูกไปหาปู่ย่าตายายก็ไม่ได้ ส่วนลูกคนอื่นใส่ชุดหล่อไปเที่ยว เราพาไปไม่ได้ สายตาของลูกที่ผิดหวังทำให้เราคิดหนัก" บักรี บอก

มะนาวี กล่าวเสริมว่า ทำหน้าที่ประกอบระเบิดมาหลายปี ไม่เคยมีอุปกรณ์ป้องกันสารพิษ วันหนึ่งก็ล้มป่วย อาการหนักมาก แต่พอเข้าโรงพยาบาลแล้วรอดกลับมาได้ จึงรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่

"ขบวนการเคยบอกว่าเกิดอะไรขึ้นจะดูแลทุกอย่าง แต่พอเกิดจริงๆ กลับไม่ได้ดูแล ตรงนี้ทำให้เราคิดหนัก ผมหายป่วยกลับมาก็โดนหมาย พ.ร.ก. (ออกตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548) เมื่อปีที่แล้ว ถูกจับอยู่ 6 วัน ออกมาได้ผมก็เลยหนีไปมาเลย์ ตอนหลังผมได้แฟน และแฟนก็ท้องด้วย ก็เลยเห็นใจเขาและอยากเลิกทำงานให้ขบวนการเสียที"

นอกจากผลกระทบที่เกิดกับครอบครัวแล้ว สิ่งที่ทั้ง "มะนาวี" และ "บักรี" พูดออกมาตรงกันก็คือ ความรู้สึกของพวกเขาที่เหมือนถูกขบวนการหักหลังและหลอกใช้

"ใครถูกจับ ขบวนการบอกว่าเท่ากับไปพักผ่อน ไม่ต้องทำอะไร แต่ใครล่ะจะอยากพักผ่อนแบบนี้ และตลอดมาขบวนการไม่เคยช่วยเหลืออะไรเลย" มะนาวี ระบุ

ขณะที่ "บักรี" ตั้งคำถามว่า ไหนบอกทำเพื่อศาสนา เคยถามคนในขบวนการด้วยกันว่าเพื่อศาสนาอย่างไร ให้พาคนที่เหนือกว่ามาคุยก็ตอบไม่ได้ ที่สำคัญพรรคพวกที่ติดคุก กลับบอกให้ไปพักผ่อน ทั้งๆ ที่คุกมันไม่ใช่สถานที่พักผ่อน

"การกระทำของเราไม่ได้ยกระดับความเป็นอยู่ของชาวบ้าน วางระเบิดตูม ชาวบ้านกรีดยางไม่ได้ 2 อาทิตย์ แล้วเราได้อะไร เราเองก็ไม่ได้อะไร ชาวบ้านก็ไม่ได้ ถ้าเราไม่ระเบิด ไม่ยิง ชาวบ้านก็กรีดยางได้" บักรี บอกพร้อมกับบทสรุปในความคิดของเขา

"ที่ขบวนการเคยบอกพวกเรามันไม่จริงสักอย่าง แล้วผมจะพาลูกน้องไปไหน ขบวนการจะพาเราไปที่ไหน เราจะรบไปถึงเมื่อไหร่ และสุดท้ายคงไม่พ้นถูกจับ ถ้าไม่ถูกจับก็ตาย"

ด้วยเหตุผลดังว่านี้เองที่ทำให้ "มะนาวี" และ "บักรี" กับเพื่อนๆ อีกราว 80 ชีวิตซึ่งฝ่ายความมั่นคงจัดกลุ่มพวกเขาว่าเป็น "นักรบ" ในฐานะผู้ที่คิดเห็นแตกต่างจากรัฐ พร้อมใจกันออกมาแสดงตัวและพบปะกับ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส เมื่อวันอังคารที่ 11 ก.ย.2555 เพื่อพูดคุยถึงแนวทางในการกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขหลังวางปืน

แน่นอนว่าสิ่งที่เป็นความปรารถนาขั้นพื้นฐานก็คือ ให้รัฐถอนหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และหมายจับตาม ป.วิอาญา (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา) ดูแลความปลอดภัยหลังจากออกจากป่ากลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวแล้ว และหางานให้ทำ

อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเพียงความรู้สึกจาก "นักรบอาร์เคเค" วัยไม่ถึง 30 ปีที่โดนเพียงหมาย พ.ร.ก. แต่สำหรับอดีตนักต่อสู้ผู้สูงวัยกว่าและผ่านเรื่องร้ายๆ มามากกว่านั้นอย่าง อับดุลรอซะ การ์เด ซึ่งถูกจับกุมในคดีความมั่นคงหลายคดี และใช้ชีวิตในเรือนจำมานานกว่า 3 ปี เขาย่อมมีข้อเสนอในใจมากกว่า "มะนาวี" กับ "บักรี" เป็นแน่

"ในสามจังหวัด สิ่งที่ต้องมาอันดับต้นๆ คือความจริงใจ รัฐต้องจริงใจก่อน ทุกคนพอถึงจุดนี้ต้องการความยุติธรรม ผมติดคุกมาแล้ว ผมเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมมีจริง แต่ปัญหาอยู่ในช่วงก่อนจะถึงกระบวนการยุติธรรม นั่นก็คือกระบวนการสรรหาพยานหลักฐานว่ามีความยุติธรรมหรือไม่ มีการใส่ร้ายหรืออาศัยเพียงคำซัดทอดหรือเปล่า"

"ผมได้พิสูจน์แล้วว่าถ้าคดีถึงศาล ศาลมีความยุติธรรมจริง ศาลพิจารณาตามพยานหลักฐาน ฉะนั้นปัจจัยของความเป็นธรรมคือกระบวนการก่อนถึงศาลยุติธรรม"

เขาขยายความอีกว่า หลายคดีเจ้าหน้าที่มีแค่คำซัดทอดก็ออกหมายจับ เมื่อออกหมายแล้วก็ต้องจบด้วยการจับ อายุความ 20 ปี ทำให้คนที่ถูกออกหมายหนีไปมาเลย์ เพราะจะไปจ้างทนายก็ไม่มีเงิน แต่ข่าวออกว่าหนีไปกบดาน

"พอเกิดเหตุปุ๊บ ชื่อออกมาแล้วว่าคนโน้นทำ คนนี้สั่งการ สังคมสื่อเขาแย่งกันขายข่าว แต่คนที่อ้างถึงไม่มีพื้นที่ที่จะชี้แจง"

อับดุลรอซะให้น้ำหนักกับเรื่องความเป็นธรรมเป็นพิเศษ เพราะเขาถูกจับกุมดำเนินคดีไม่ต่ำกว่า 5 คดี ทั้งในพื้นที่ อ.แว้ง อ.สุไหงปาดี และ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส แต่สุดท้ายศาลยกฟ้องหมด เขาเพิ่งได้อิสรภาพเมื่อ 2 เดือนเศษที่ผ่านมา โดยระหว่างอยู่ในเรือนจำ เขาได้รับการยอมรับเสมือนหนึ่ง "ผู้นำ" และเคยเป็นตัวแทนเจรจากับเจ้าหน้าที่รัฐเมื่อครั้งจลาจลในเรือนจำนราธิวาสเมื่อปีก่อน

3 ปีในเรือนจำเปลี่ยนแปลงความคิดของอับดุลรอซะไปมากทีเดียว...

"เราต้องพลัดพรากจากครอบครัว ทุกคนต้องเอาครอบครัวไว้ก่อน เมื่อมีครอบครัวก็ต้องมีงานทำ ฉะนั้นเราจะอยู่แบบเดิมๆ ไม่ได้ ถ้าให้เรากลับไปอยู่ในสังคม สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือความปลอดภัย ไม่ได้ต้องการ 100% แต่ถ้าเรามีปัญหาอะไรต้องได้พูดคุย และต้องได้รับการตอบรับที่ดี อีกเรื่องคืออาชีพการงาน อย่างผม 3 ปีที่ผ่านมา คดียกฟ้องไปหมด แต่ถามว่ากระบวนการที่พลาดพลั้งไปนี้ ผมจะได้อะไร"

อับดุลรอซะ ยังฝากไปถึงระดับนโยบายที่แก้ไขปัญหาภาคใต้กันมา 7 รัฐบาลแล้วแต่ยังไม่ดีขึ้น

"ที่ผ่านมานโยบายรัฐบาลมาทีก็เปลี่ยนที ทั้งๆ ที่เราทำโครงการต้องมีความต่อเนื่อง แต่นี่รัฐบาลโน้นการเมืองนำการทหาร รัฐบาลนี้ทหารนำการเมือง ทหารเองก็เหมือนกัน พอนายเปลี่ยนคนก็เปลี่ยนนโยบาย ฉะนั้นกว่าจะเริ่มทำงานได้ก็สาย ก็ตามฝ่ายขบวนการอีกก้าว"

"สิ่งที่อยากเห็นก็คือรัฐบาลเปลี่ยน ไม่มีปัญหา แต่นโยบายต้องสอดคล้องกับที่ตั้งต้นมา ใครจะเป็นนายกฯ เป็นแม่ทัพไม่มีปัญหา แต่นโยบายเป็นอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น ว่ากันตรงๆ"

อับดุลรอซะ คาดหวังว่า การพบปะกับแม่ทัพภาค 4 เมื่อวันที่ 11 ก.ย.จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เป็นนิมิตหมายที่จะนำพาสถานการณ์กลับสู่ความสันติ

เปิดม่านความจริง(The Truth)

ความรุนแรงไม่ได้เป็นผู้สร้าง แต่เป็นผู้ทำลาย.. อ้างประวัติศาสตร์เพื่อทำลายผู้อื่น อ้างอัตลักษณ์เพื่อทำลายผู้อื่น อ้างศาสนาเพื่อทำลายผู้อื่น อ้างอุดมการณ์เพื่อทำลายผู้อื่น แล้วจะมาสร้างการปกครองใหม่ได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่เห็นคือการทำลายทั้งนั้น ไม่ใช่การสร้างเลย ถ้าไม่ให้เรียกว่าโจรแล้วจะเรียกว่าอะไร
โจรใต้มีหลายหน้ากาก 
"บ้างในคราบนักการเมือง" 
"บ้างในคราบบาบอ(ครูสอนศาสนา)"
"บ้างในคราบนักศึกษา"
"บ้างในคราบนักวิชาการ"
"บ้างในคราบราชการ"
"บ้างในคราบ NGO"
เห็นต่าง มันฆ่าโดยไม่เลือกว่าคุณเป็นใคร... นับถือศาสนาอะไร... เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และพวกพ้อง พวกมันทำทุกอย่าง
Cr.เปิดม่านความจริง(The Truth)

วางบึ้มรถไฟสายยะลา-สุไหงโกลก

ป่วนใต้! วางบึ้มรถไฟสายยะลา-สุไหงโกลก จ.นราธิวาส อส.ดับ1 เจ็บอื้อ

ความคืบหน้าคนร้ายลอบวางระเบิด รถไฟสายยะลา-สุไหงโก-ลก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เบื้องต้น อาสารักษาดินแดนเสียชีวิตแล้ว 1 ราย มีผู้บาดเจ็บเกือบ 20 ราย

วันนี้(18พ.ย.) เมื่อเวลา 07.20 น. เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดรถไฟขบวนที่ 453 ยะลา-สุไหงโก-ลก บ้านสะโล หมู่ 9 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส พ.ต.ท.จักรกฤษณ์ วงศ์พรหมเมศร์ รองผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรรือเสาะ เปิดเผยว่า ระเบิดถูกวางไว้ใต้รางรถไฟและจุดชนวน เมื่อรถไฟวิ่งผ่านมาบริเวณป้ายหยุดรถไฟบูกิตจือแร จากนั้นคนร้ายได้ยิงถล่มซ้ำ เบื้องต้น ทราบว่ามีผู้เสียชีวิต 1 ราย เป็นอาสารักษาดินแดน ทราบชื่อ อส.พนากร ขุนแก้ว อายุ 25ปี และมีผู้บาดเจ็บเกือบ 20 ราย ซึ่งรวมถึงผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 

ในจำนวนนี้ เป็นตำรวจรถไฟ 1 นาย เจ้าหน้าที่เก็บตั๋ว 2 ราย ที่เหลือเป็นประชาชนที่โดยสารมากับรถไฟสาย ซึ่งมีผู้บาดเจ็บสาหัส 4-5 ราย แขนขาด ขาขาด ขณะนี้ส่งโรงพยาบาลรือเสาะแล้ว จากการตรวจสอบพบว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนักประมาณ 90-100 กิโลกรัม ทำให้เกิดหลุมกว้าง 3 เมตร ลึกเกือบ 2 เมตร

จากเหตุดังกล่าวทำให้ที่สถานีรถไฟยะลา เจ้าหน้าที่ได้ประกาศให้ขบวนรถไฟทุกขบวน ที่จะมุ่งหน้าไปยังปลายทาง อ.สุไหงโก-ลก ต้องหยุดจอดถึงเพียงสถานีรถไฟยะลา เท่านั้น ส่วนทางเข้า- ออก และ ภายในบริเวณสถานีรถไฟ มีเจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน คอยดูแลรักษาความปลอดภัย มีการตรวจกระเป๋าและสัมภาระอย่างละเอียด เกรงคนร้ายจะถือโอกาสก่อเหตุร้ายบริเวณสถานีซ้ำสอง ขณะที่ ชาวบ้านบางรายต้องพบกับความผิดหวังที่ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ ต่างทยอยคืนตั๋วรถไฟ และต้องใช้การโดยสารรถยนต์ประเภทอื่น มุ่งหน้าไปยังปลายทางต่อไป

นายสถานีรถไฟยะลา เปิดเผยว่า สำหรับขบวนรถไฟที่วิ่งปลายทางสุไหงโก-ลก ผ่านสถานีรถไฟยะลา มีทั้งหมด 14 ขบวน แยกเป็นรถเร็ว กรุงเทพฯ สุไหงโก-ลก 2 ขบวน , รถด่วน 1 ขบวน รถดีเซลรางหาดใหญ่-สุไหงโก-ลก 1 ขบวน และรถไฟท้องถิ่น ที่ใช้บริการฟรี 10 ขบวน โดยวันนี้รถทุกขบวน จะวิ่งมาแค่ปลายทางสถานียะลาเท่านั้น ส่วนปลายทางสุไหงโก-ลก หยุดวิ่งเป็นการชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะเกิดความปลอดภัย



















เหตุการณ์ระเบิดในเขตเมืองยะลา เมื่อ 17 พ.ย. 55

เนื่องด้วย เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 เวลาประมาณ 7 นาฬิกา เกิดเหตุระเบิดจากการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรง บริเวณหน้าอาคารราชพัสดุ สำนักงานชุมสาย 
TOT ตำบลสะเตง อำเภอเมือง จังหวัดยะลา กลุ่มคนร้ายได้นำระเบิดแสวงเครื่องประกอบในรถจักรยานยนต์ ที่ปล้นมาจากราษฎร
เมื่อ 2 เดือนก่อน มาจอดไว้และจุดระเบิด ผลของการระเบิดปรากฏมีประชาชนที่เป็นผู้หญิง เสียชีวิต จำนวน 1 คน และบาดเจ็บ จำนวน 27 คน มี 2 คน ในผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ เป็นเด็ก อายุ 4 ปี ชื่อ ด.ช. ธนกร บัวศรี และ เยาวชน อายุ 16 ปี ชื่อ นาย สุทธิลักษณ์ จิตร์แก้ว ประชาชนที่บาดเจ็บทั้งหมดมีทั้งผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ และ พี่น้องมุสลิม ได้แก่ นส.อัซฮา สาอุ ,นส.นูรมารี ดอเลาะ และ นส. ซูไรยา เจ๊ะอิง เป็นต้น ในขั้นต้น เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน และ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ต่างรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอให้กำลังใจกับผู้ประสบเหตุการณ์ครั้งนี้ทุกท่าน โดยได้รีบเร่งดำเนินการเพื่อให้ความช่วยเหลือทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทันที
จากผลการจุดระเบิดสร้างความเสียหาย ให้กับชีวิต และทรัพย์สินของราษฎร โดยกลุ่มผู้หลงผิด หลงเชื่อคำยุยงของผู้ไม่หวังดีต่อประเทศชาติ ตามข้างต้น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอความร่วมมือจากประชาชน ส่วนราชการ ภาครัฐวิสาหกิจ ได้ให้ความร่วมมือต่อทางราชการ ประกอบด้วย
ประการที่ 1 รับรู้ รับทราบ ผลความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เกิดจากการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ที่หวังเพียงสร้างสถานการณ์เรียกร้องความสนใจ จากสื่อมวลชน และ องค์กรต่างประเทศ โดยเฉพาะมีเด็ก เยาวชนที่มีอายุระหว่าง 4 – 16 ปี บาดเจ็บ และมีสตรีเสียชีวิต จำนวน 1 คน และบ้านเรือนร้านค้าเสียหายหลายหลัง ส่วนประชาชนผู้ได้รับบาดเจ็บมีทั้งผู้นับถือศาสนาพุทธ และอิสลาม
ประการที่ 2 การที่จะช่วยกันระงับ ยับยั้งเหตุร้ายต่าง ๆ ไม่เฉพาะเรื่องระเบิด เรื่องเผาโรงเรียน เรื่องมีคนแปลกหน้าเข้ามายิงทำร้ายที่บ้านหรือระหว่างทาง ถึงเวลาแล้วที่ประชาชน ต้องช่วยกัน
จะปล่อยทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร แต่เพียงลำพังไม่ได้ เพราะทหาร ตำรวจ ต้องดูแลประชาชน อีกหลายพื้นที่ทั้งกลางวัน และกลางคืน รวมทั้งการติดตาม จับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ทำลายแหล่งซุกซ่อน สะสมอาวุธ ของกลุ่มผู้ไม่หวังดี ทั้งนี้จะได้ขอวิงวอน องค์กรภาคประชาชน ,(NGO) ,องค์กรภาคประชาสังคม,ผู้รู้ทางศาสนา,ผู้นำทางศาสนา,นักวิชาการ,หน่วยงานราชการทุกสาขา,เจ้าหน้าที่,พนักงานของรัฐ ,สื่อมวลชน, องค์กรระหว่างประเทศ และคนไทยทั้งประเทศต้องร่วมกันให้กำลังใจ ประชาชนในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่
ซึ่งปฏิบัติงานในพื้นที่ด้วยความยากลำบาก เพื่อร่วมกันปกป้องประชาชน และผ่านพ้นเหตุการณ์ นำสันติสุขกลับมาสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกัน
ประการสุดท้าย รัฐบาล และ หน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจ พลเรือน โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ,ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ,กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า และกระทรวงต่างๆทั้ง 17 กระทรวง และ 66 หน่วยงาน เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการศึกษา กระทรวงยุติธรรม หน่วยงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ หน่วยงานด้านการพัฒนาเทคโนโลยี เป็นต้น ทุกภาคส่วนไม่เคยนิ่งนอนใจกับสถานการณ์ ความทุกข์ร้อน ของประชาชน
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ต่างทุมเททุกมิติทั้งบุคคล และเทคโนโลยี
เพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบให้ผ่านพ้นไปให้ได้ เพราะขบวนการผู้ไม่หวังดี และ ผู้หลงผิด ยังมีความพยายามที่จะก่อเหตุร้ายตลอดเวลา ทุกองค์กร ทุกภาคส่วน จะต้องช่วยกันหยุดยั้งพฤติกรรมของกลุ่มผู้ก่อเหตุทุกประการด้วยการแสดงออกถึงการปฏิเสธความรุนแรงในทุกรูปแบบ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ,ภาคประชาสังคม หรือกลุ่ม NGO และกลุ่มองค์การนักศึกษาสถาบันอุดมศึกษา ปัญญาชน ทุกกลุ่ม ขอเรียนให้ทุกท่าน
ได้ออกมาช่วยเหลือปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ จะเป็นไทยพุทธหรือมุสลิม อย่างเสมอภาค และถึงแม้นว่าไม่แสดงออกก็ขอวิงวอนอย่าไปสนับสนุน ในทางใดทางหนึ่ง แม้แต่การกล่าวโจมตีเจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติงานด้วยความเสียสละ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกคนต่างทำงานหนัก เฝ้าตรวจ ติดตาม ดูแลความทุกข์ของประชาชนอย่างที่
ทุกท่านได้เห็นทุกวัน ทุกคืน ขอให้ประชาชนได้แสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และเป็นกลุ่มก้อนในการปฏิเสธการใช้ความรุนแรงของกลุ่มผู้ก่อเหตุ ทุกประเภทเพื่อหยุดยั้งการกระทำที่ขาดมนุษยธรรมของกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมรุนแรง สุดโต่ง เช่นนั้นตลอดไป

เหตุการณ์ ระเบิดรางรถไฟพื้นที่ อ.รือเสาะ เมื่อ 18 พ.ย.55


เนื่องด้วย เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๕ เวลา ๐๗๑๕ ได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนมากกว่า ๕ คนได้ก่อเหตุลอบวางระเบิดทางรถไฟสถานีย่อย บ้า
นตะโละบูกิตยือแร จำนวน ๒ ลูก เป็นเหตุให้ขบวนรถไฟที่ ๔๕๓ เส้นทางขาลง ยะลา – สุไหงโก- ลก ขณะมีผู้โดยสารเดินทางมากับขบวนรถไฟตกราง บริเวณบ้านสะโลว์ หมู่ที่ ๗ ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส หลังจากรถไฟตกราง กลุ่มคนร้ายได้ระดมยิงเข้าใส่ขบวนรถไฟใส่บริเวณตู้รถไฟที่มีเจ้าหน้าที่ เพื่อแย่งชิงอาวุธแต่เจ้าหน้าที่อาสาสมัครรถไฟได้ระดมใช้อาวุธประจำกายตอบโต้ เพื่อปกป้องชีวิต และทรัพย์สินประชาชน ทำให้คนร้ายทั้งหมดหลบหนีไป หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ ๓ ฝ่าย จึงรีบดำเนินการนำผู้บาดเจ็บส่งไปรักษาพยาบาล โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ทันที จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บ ดังนี้.-
๑. อส.พรากร ขุนแก้ว อายุ ๒๕ ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
๒. เจ้าหน้าที่ตำรวจ และอาสาสมัคร บาดเจ็บ จำนวน ๕ นาย
๓. ประชาชนทั่วไปทั้งชาวไทยพุทธ และชาวไทยมุสลิม บาดเจ็บ จำนวน ๘ ราย
๔. เยาวชนชาวไทยมุสลิม บาดเจ็บ จำนวน ๓ ราย
จากรายละเอียดการกระทำของกลุ่มผู้หลงผิด และไม่หวังดีต่อประเทศชาติข้างต้น ทำให้ทรัพย์สินของทางราชการซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของประชาชนชาวไทยทุกคนเสียหาย และมีทั้งเจ้าหน้าที่เสียชีวิต ประชาชน และเยาวชน ได้รับบาดเจ็บ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า ขอชี้แจงทำความเข้าใจ
ต่อประชาชน ส่วนราชการ ภาครัฐวิสาหกิจ องค์กรภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน เพื่อทราบประกอบด้วย
ประการที่ ๑ การกระทำด้วยวิธีการลอบวางระเบิดของกลุ่มคนร้ายครั้งนี้ใช้ระเบิดแสวงเครื่อง บรรจุในถังแก๊สจุดชนวนด้วยการลากสายไฟฟ้าไว้ใต้ทางรถไฟ ซึ่งการกระทำด้วยวิธีการไร้มนุษยธรรมประเภทนี้ ไม่คำนึงว่าจะเกิดการสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สิน ของประชาชนรวมถึงสาธารณสมบัติของชาติ เป็นจำนวนมาก ขอให้ทุกภาคส่วน และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ออกมาร่วมแสดงออก ประณามการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำของผู้ที่ไม่มีสามัญสำนึกของการรักษาไว้ซึ่งสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ทางราชการกำลังเร่งตรวจสอบหาหลักฐาน วัตถุพยาน สืบสวน สอบสวน รวบรวมหลักฐาน เพื่อนำตัวกลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมาย และเร่งดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ ทันที โดยร่วมกันทุกฝ่ายทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือน
ประการที่ ๒ ผู้โดยสารรถไฟ ประชาชนที่เดินทางไป – มา ต่างเป็นประชาชนผู้ใช้ชีวิตปกติประจำวันมีทั้งเด็ก สตรี คนชรา นักบวช และผู้นำศาสนา โดยเฉพาะผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน ๑๑ ราย เป็นเยาวชนมุสลิมอายุ ๑๒ ปี จำนวน ๓ ราย ทั้งหมดล้วนเป็นผู้ที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด รวมทั้งกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงแต่ประการใด
ประการที่ ๓ เหตุจูงใจในการกระทำของกลุ่มขบวนการผู้ไม่หวังดี หลอกลวง ให้ผู้กระทำผิดลงมือปฏิบัติการในครั้งนี้ก็เพียงหวังให้เกิดเหตุร้ายแรงใหญ่โต เพื่อประโคมข่าวเกิดเป็นที่สนใจของสาธารณชนทั่วโลกในสังคมกว้าง เพราะรถไฟตกรางนั้นเป็นเหตุใหญ่ร้ายแรง โดยไม่คำนึงว่าเส้นทางคมนาคมขนส่งที่ประชาชน
๓ จังหวัดภาค ใต้ผู้มีรายได้น้อยนิยมใช้ในการเดินทาง และขนส่งมากที่สุด ถือได้ว่าเป็นเส้นเลือดของการเดินทางของจังหวัดชายแดนภาคใต้เพราะเป็นบริการสาธารณะของประเทศไทยที่รัฐบาลได้ให้บริการในราคาถูก ประหยัด ที่ทุกคนต้องช่วยกันดูแลรักษา แต่กลุ่มผู้ไม่หวังดีกลับไม่คำนึงถึงแต่กลับมุ่งทำลายสร้างความเสียหาย ซึ่งนำมาถึงความเสียใจ เศร้าโศก ของพี่น้องทั้งชาวไทยพุทธ – ชาวไทยมุสลิม และประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ รวมถึงรัฐบาลที่พยายามเร่งพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพี่น้องมุสลิม ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างต่อเนื่อง
ประการที่ ๔ กองอำนวยรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า ขอเรียนให้ประชาชน, องค์กรภาคประชาสังคม, NGO และสื่อมวลชน ว่าสถานการณ์ได้มีการพัฒนาไปในทางที่ดี แต่ประชาชนทั่วประเทศก็ยังเป็นห่วง และมีความหวั่นไหวต่อเหตุการณ์ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาแต่ประการสำคัญความช่วยเหลือในการนำเสนอ การอธิบายต่อประชาชนชาวไทย และชาวต่างชาติ ทุกส่วนขอได้ช่วยกันเพราะเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งหากเราทุกฝ่ายได้ช่วยกันเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ก็จะช่วยทำให้ความรู้สึกของประชาชนส่วนรวม และชาวต่างชาติรู้สึกดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็จะทำให้การใช้กลยุทธ์ของกลุ่มผู้ไม่หวังดี “การโหมกระพือข่าวจากสถานการณ์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุ” บรรเทา เบาบางลงไป ตามลำดับของสถานการณ์
ประการที่ ๕ รัฐบาล และหน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจ พลเรือน โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้, กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า และกระทรวงต่างๆทั้ง ๑๗ กระทรวง และ ๖๖ หน่วยงาน เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ เป็นต้น ทุกส่วนไม่เคยนิ่งนอนใจกับสถานการณ์ และความทุกข์ใจของประชาชนชาวไทย ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลา ทุกหน่วยงาน และรัฐบาลต่างมุ่งมั่น ทุ่มเททรัพยากร บุคคล นักวิชาการ รวมทั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบ ให้กลับมาสันติสุขดั่งเช่นแต่ก่อน แต่ทั้งนี้ต้องอาศัยปัจจัยเวลาในการแก้ไขปัญหาเพราะกลุ่มขบวนการผู้ที่ไม่หวังดียังมีความพยายามที่ใช้การล่อลวงด้านเชื้อชาติ ศาสนา ให้ผู้หลงผิด
ก่อเหตุร้ายตลอดเวลา ทั้งนี้ทุกองค์กร ทุกภาคส่วน จะต้องช่วยกันหยุดยั้งพฤติกรรม และต่อต้านการก่อเหตุรุนแรงทุกประการ ร่วมกันแสดงออกถึงการปฏิเสธความรุนแรงในทุกรูปแบบ จึงขอวิงวอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, ภาคประชาสังคม,กลุ่ม NGO และกลุ่มองค์กรนักศึกษาปัญญาชนทุกกลุ่ม ได้ออกมาร่วมปกป้องผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นประชาชนชาวไทยพุทธ หรือมุสลิม อย่างเสมอภาค ทั้งนี้เจ้าหน้าที่รัฐทุกภาคส่วนพร้อมปฏิบัติหน้าที่ปกป้องชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนทุกหมู่เหล่า ด้วยความเสียสละอย่างเต็มความสามารถ
จึงแถลงมาเพื่อทราบ
------------------------------------------------------

17.11.55

ร่วมด้วยช่วยกันสร้างสรรค์ด้ามขวานไทย


      กลุ่มบุคคลในขบวนการก่อเหตุรุนแรงได้มีการหลอกลวงนำเยาวชน บุตรหลานซึ่งอยู่ในเยาว์วัย ไปทำการปลูกฝังอุดมการณ์ในลักษณะบิดเบือนหลักการทางประวัติศาสตร์ ศาสนา สร้างความชิงชังระหว่างบุคคลในชาติ รวมทั้งฝึกสอนวิธีการที่เป็นการทำร้ายผู้อื่น ซึ่งจะเห็นได้ว่าพฤติกรรมของกลุ่มบุคคลดังกล่าวนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และเป็นภัยร้ายแรงต่อแนวทางการพัฒนาด้านการศึกษาของเยาวชน ซึ่งสมควรมุ่งต่อการพัฒนาด้านความรู้และจริยธรรมให้เป็นเยาวชนที่ดีของชาติเป็นหลัก ดังนั้นจึงถือเป็นเหตุผลสำคัญที่จะต้องแจ้งให้ประชาชน ผู้ปกครองได้รับทราบและร่วมด้วยช่วยกันเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการนำสันติสุขมาสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ดังนี้.-
1. ขอให้ประชาชนผู้ปกครองได้เพิ่มการติดตามกำกับดูแลบุตรหลานของท่านที่เดินทางไปรับการศึกษานอกเคหะสถาน หรือที่พัก ในเวลากลางวัน เวลาเย็น กลางคืน หรือวันหยุดราชการ ได้เป็นไปตามที่โรงเรียน สถาบันการศึกษาแจ้งหรือบุตรหลานขออนุญาตหรือไม่ หากไม่ตรงตามการแจ้ง หรือขออนุญาต ขอให้ท่านติดตามแก้ไข
2. ขอความร่วมมือ ผู้อำนวยการ ผู้รับใบอนุญาต เจ้าของสถานศึกษาทั้งสถานศึกษาของรัฐ โรงเรียนสอนศาสนาเอกชน หรือโรงเรียนปอเนาะ ได้ติดตาม กำกับดูแล การดำเนินกิจกรรมของฝ่ายกิจกรรมครู หรือครูผู้ช่วย ภายในสถานศึกษาหรือนอกสถานศึกษา ให้เป็นไปตามกรอบหรือแนวทางการเรียนการสอน เพื่อการสร้างสรรค์เยาวชน ให้มุ่งไปสู่การเป็นเยาวชนที่มีความรู้ความสามารถ มีจริยธรรมดีงาม สอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และหลักธรรมของศาสนาอย่างแท้จริง
3. ในกรณีที่มีสถานศึกษาของรัฐ โรงเรียนสอนศาสนาเอกชน หรือโรงเรียนปอเนาะใด ที่มีพฤติกรรมทำการฝึกสอน อบรมเยาวชนไปในทางที่ผิดจรรยาบรรณตามที่กระทรวงศึกษาธิการ และหลักธรรมของศาสนากำหนด โดยเฉพาะการเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงของประเทศ รวมถึงอนาคตเยาวชนของชาติ เราจำเป็นต้องช่วยกันเข้าดำเนินการต่างๆ เพื่อยุติการกระทำที่มีการเบี่ยงเบน ล่อแหลมต่อการเป็นภัยคุกคามความสงบสุขของประชาชน โดยใช้กฎหมายและความถูกต้องเข้าจัดการกับสิ่งเหล่านั้น

จยย.บอมบ์ถล่มเมืองยะลาดับ 1 เจ็บ 20

เมื่อเวลา 07.25 น. วันที่ 17 พ.ย. 2555 ศูนย์รวมข่าว สภ.เมืองยะลา ได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุ ระเบิดขึ้นที่บริเวณหน้าร้านแสงไทยโลหะกิจ เลขที่ 520 ถ.สิโรรส อ.เมือง จ.ยะลา เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิต 1 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก จึงได้แจ้ง พันตำรวจเอก นรินทร์ บูสะมัญ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองยะลา ทราบ พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ชุดดับเพลิง เจ้าหน้าที่กู้ภัย ยะลา นำกำลังเข้าสกัดกั้น และให้ความช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน

เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ พบว่า อาคารดังกล่าวกำลังถูกเพลิงลุกไหม้ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้ช่วยกันสกัดกั้นเพลิงไม่ให้ลุกโหม ใช้เวลานานกว่า 1 ชม.จึงสามารถควบคุมเพลิงได้ ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่กู้ภัยยะลา ได้เร่งช่วยเหลือผู้บาดเจ็บออกมาจากทางด้านหลังอาคาร และนำตัวส่ง รพ.

นอกจากนั้นที่บริเวณหน้าแขวงการทางยะลา ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 20 เมตร เจ้าหน้าที่พบรถยนต์กระบะ ฟอร์ดเรนเจอร์ ของ เจ้าหน้าที่ทหาร จอดอยู่ สภาพรถได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด โดยที่บริเวณหน้ารถ พบร่างผู้เสียชีวิตเป็นหญิงไม่ทราบชื่อคร่อมอยู่กับรถ จยย. โดยทราบว่าผู้เสียชีวิตดังกล่าว ถูกรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งถูกแรงระเบิดกระเด็นมาพุ่งชนใส่จนเสียชีวิต

ในที่เกิดเหตุ หน้าร้านดังกล่าว พบรถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน ก.3301 ยะลา ถูกเผาไหม้ไปทั้งคัน โดยฝั่งตรงข้ามพบรถจักรยานยนต์ซึ่งคนร้ายทำเป็น จยย.บอมบ์มาจอดไว้หน้าร้านดังกล่าว แต่แรงระเบิดทำให้กระเด็นข้ามไปอยู่อีกฝั่ง สภาพรถเสียหายทั้งคัน จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าเป็นรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟร้อยสีแดงดำ ซึ่งแจ้งหายไว้ที่ สภ.เมืองยะลา เมื่อประมาณ 2 เดือน ที่แล้ว

จากการสอบสวนทราบว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารฉก.ยะลา นำกำลังออกลาดตระเวนในพื้นที่เมื่อขับมาถึงจุดดังกล่าว คนร้าย ซึ่งได้จอดรถ จยย.บอมบ์ไว้ที่หน้าร้านแสงไทย ก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ทหารขับผ่านมา ได้จุดชนวนระเบิดขึ้นทันที ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งอยู่ในรถยนต์กระบะ จำนวน 5 นาย ได้รับบาดเจ็บ โดย 2 นายอาการสาหัส และมีประชาชนได้รับบาดเจ็บ อีก 15 ราย บ้านเรือนเสียหาย จำนวน 5 คูหา รถยนต์รถจักรยานยนต์ที่จอดใกล้เคียงได้รับความเสียหาย หลายคัน เบื้องต้น เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นการจุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสารเนื่องจากพบแผงวงจร แบตเตอรี่กระเด็นตกอยู่ในที่เกิดเหตุ

หลังเกิดเหตุ พล.ต.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อม ด้วย พล.ต.ต.พีระ บุญเลี้ยง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา ได้เดินทางไปตรวจสอบดูจุดเกิดเหตุ พร้อมสั่งสกัดกั้นรถคนร้ายที่คาดว่า จะก่อเหตุพร้อมสั่งนำกล้องวงจรปิดไปตรวจสอบเป็นการด่วน โดยเบื้องต้นพบว่ากล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพของคนร้ายที่นำรถมาจอดเอาไว้ได้














































เรื่อง : http://breakingnews.nationchannel.com/home/read.php?newsid=658970&lang=T&cat
ภาพ : http://www.mkn-yala.com/phpbb/viewtopic.php?t=735&sid=0df5d0d29199a192092f29e941402937